
อภิสิทธิ์ ฟุ้งแก้เศรษฐกิจได้สำเร็จ ก้าวพ้นวิกฤติ (คมชัดลึก)
"อภิสิทธิ์" ฟุ้งแก้เศรษฐกิจได้สำเร็จ หลุดทุจริตโครงการสินค้าเกษตร ก้าวพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ และได้ก้าวพ้นสังคมแบบประชานิยมมาสู่ระบบของสวัสดิการ
เมื่อเวลา 13.40 น.วันที่ 23 ธันวาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 1 ปี ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอกทำเนียบรัฐบาล โดยมี ครม. ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ สื่อมวลชนจำนวนมากเข้าร่วมรับฟังการแถลงผลงาน ทั้งนี้ ได้มีการเตรียมจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ในการแถลงผลงานรัฐบาลเรื่อง "12 เดือนรัฐบาล กว่า 60 ล้านความสุขของคนไทย" รวมทั้งมีการติดตั้งจอระบบทัชสกรีนสี่จอไว้ตรงกลางตึกสันติไมตรี เพื่อนำเสนอผลงานรัฐบาลด้านอื่น ๆ ด้วย ส่วนการนำเสนอผลงานรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์ได้ใช้ไมโครโฟนระบบไวร์เลส
โดยในช่วงเริ่มต้นการแถลงผลงานรัฐบาลนั้น วีดีทัศน์บนจอโปรเจคเตอร์เริ่มนำเสนอเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551 และวิกฤตการเมืองในช่วงเดือนเมษายน 2552 และสถานการณ์เริ่มดีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลชุดนี้เริ่มใช้นโยบายในกู้วิกฤตเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จนสถานการณ์คลี่คลายตามลำดับ รวมทั้งมีภาพประชาชนมาร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวามหาราช
นายอภิสิทธิ์ เริ่มแถลงผลงานรัฐบาลว่า พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2551 ตนและ ครม.ได้เข้ารับหน้าที่ถวายสัตย์ปฏิญาณ และในช่วงปลายปีนั้น ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพราะฉะนั้น นับจนถึงวันนี้ถือว่าเป็นเวลาประมาณ 1 ปี นับตั้งแต่รัฐบาลได้เข้าบริหารราชการแผ่นดิน วันนี้ตนขอใช้เวลาในการที่จะรายงานให้พี่น้องประชาชนเจ้าของประเทศได้รับทราบว่า 1 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนอย่างไร
นายอภิสิทธิ์แถลงว่า การรายงานในวันนี้ คงไม่ใช่เป็นโอกาสเดียวที่จะมีการได้ตรวจสอบผลงานของรัฐบาล เพราะอย่างน้อยที่สุดรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการจัดทำเรื่องของผลงานตามแนว นโยบายแห่งรัฐที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการเปิดสมัยประชุมสภา และแน่นอนว่าพรรคการเมืองหรือฝ่ายค้านหรือสภาฯ นั้น สามารถที่จะมีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ เช่น อาจจะมีการเสนอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อไป ซึ่งในทุกโอกาสนั้นรัฐบาลจะได้ชี้แจง
ขอเรียนว่าวัตถุประสงค์สำหรับการรายงานในวันนี้ ตนถือว่า 1. เป็นหน้าที่เพราะรัฐบาลนี้มาด้วยระบบรัฐสภา เป็นรัฐบาลในวิถีทางประชาธิปไตย บุคคลที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบก็คือ ต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งมีสิทธิ์จะได้รับรู้รับทราบแนวคิดการทำงานของรัฐบาล
2. ตนจะพยายามเสนอข้อเท็จจริงซึ่งพี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนนั้นสามารถที่จะตรวจสอบได้ สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมื่อได้รายงานถึงการทำงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว ตนอยากจะใช้โอกาสนี้ในการขอบคุณและในการขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน ทั้งในส่วนของ 1 ปีที่ผ่านมา และงานที่เราจะทำต่อไป ขอย้ำอีกครั้งว่าเบื้องต้นสิ่งแรกที่ตนอยากจะทำเมื่อมองย้อนกลับไป 1 ปี คือ การขอบคุณพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ที่ได้เป็นกำลังใจให้กับรัฐบาลในการทำงานมาโดยตลอด และในหลายต่อหลายเรื่องได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนทำให้งานของรัฐบาลหลายนโยบายสำเร็จลุล่วงไปได้ พร้อม ๆ กันนี้ก็ขอถือโอกาสขอบคุณเพื่อนข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกส่วนราชการ และทุกหน่วยงานที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประเทศของเราได้เดินหน้ามาไกลพอสมควรจากสถานการณ์ปีที่แล้ว
ขอเริ่มต้นว่า ถ้าจะมองย้อนกลับไป 1 ปีวันนี้ตนคงไม่ไปลงรายละเอียดในเรื่องของโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ทำ มันจะมีเป็นร้อยเป็นพันก็ว่าได้ และจะมีรัฐมนตรีในกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ จะได้มีการชี้แจงกับพี่น้องประชาชนต่อไป แต่ตนอยากให้เห็นภาพใหญ่ และหลักคิดการทำงานของรัฐบาลโดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความมั่นคงในแต่ละด้านนั้น ว่าสถานภาพ หรือสภาพปัจจุบันเมื่อเราเข้ามาเป็นอย่างไร วันนี้เป็นอย่างไร ความตั้งใจ ต่อไปเป็นอย่างไร คงต้องเริ่มต้นฉายภาพกลับไปปลายปี 2551 อีกครั้งหนึ่ง คำว่า "วิกฤติซ้ำซ้อน" เป็นคำที่ได้ใช้กันค่อนข้างจะแพร่หลาย แม้กระทั่งจนถึงปัจจุบัน เพราะในช่วงที่รัฐบาลเข้ามาปลายปีที่แล้วนั้น วิกฤตเศรษฐกิจโลกได้เริ่มส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันเกือบจะตลอดทั้งปี 2551 สภาพความขัดแย้งในทางการเมือง และทางสังคมทำให้การบริหารราชการแผ่นดินตลอดปี 2551 นั้น เรียกได้ว่าสร้างผลงานที่จะปรากฏออกมาให้กับประชาชนบนความยากลำบากมาก จนกระทั่งมีการตั้งคำถาม ไม่ใช่กับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งแต่กับประเทศไทย และรัฐบาลไทย ว่ายังคงมีความเชื่อถือ มีความเชื่อมั่นเพียงพอในการที่จะขับเคลื่อนนโยบายและแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตภายในหรือผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจได้หรือไม่
ถ้าดูจากเรื่องของเศรษฐกิจก่อนจะพบว่า เศรษฐกิจเมื่อปลายปี 2551 นั้น เริ่มแสดงออกถึงปัญหาการหดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือในไตรมาสสุดท้ายของปี ตัวเลขทางเศรษฐกิจนั้น ติดลบถึงร้อยละ 4.2 ส่วนการส่งออก การท่องเที่ยวติดลบเป็นเลข 2 หลัก แทบจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกเท่าที่เราจะจำกันได้เลย ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงอย่างมาก ที่สำคัญคือ การคาดการณ์ว่าปี 2552 จะเป็นอย่างไรนั้น ถ้าไม่ย้อนกลับไปดู จะไม่เข้าใจว่า เราทำงานภายใต้สภาวะอย่างไร หัวข่าวมีการพาดกันว่า คนจะตกงาน 1 ล้านคน, 1 ล้าน 5 แสนคน, 2 ล้านคน มีให้เห็น มีการคาดการณ์ของสำนักวิเคราะห์ นักวิจัย นักวิชาการ สื่อสารมวลชนว่าเศรษฐกิจปี 2552 นั้น บางคนบอกว่าอาจจะติดลบถึงร้อยละ 9 บางคนฟันธงว่า ไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 และยังพูดด้วยว่าสภาพการณ์อย่างนี้ จะค่อนข้างที่จะยืดเยื้อส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศของเรา ตรงนี้คือสภาพเมื่อปลายปี 2551
รัฐบาลนี้เข้ามาและกำหนดยุทธศาสตร์ชัดเจนว่า จะใช้วิธีการในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร และแบ่งเอาไว้เลยว่า สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจของเราให้ได้ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะคือวิธีการที่จะทำให้เศรษฐกิจ ไม่ถดถอยหดตัวอย่างรุนแรงจนเกินไป และนำไปสู่ปัญหาการว่างงาน และมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ให้เศรษฐกิจนั้นเข้าสู่ภาวะตกต่ำ ขณะเดียวกันแนวทางที่ทำเช่นนั้นทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณที่จะไปตอบสนองเป้าหมายทางเศรษฐกิจนั้นทำได้เร็ว

รัฐบาลถูกวิจารณ์มากในขณะนั้น ถูกวิจารณ์ว่าทำไมไม่เอางบประมาณไปพยายามกระตุ้นการส่งออก การท่องเที่ยว หรือสร้างถนนหนทางหรือแหล่งน้ำ หรือทำเมกกะโปรเจกต์ รัฐบาลก็ได้ให้คำตอบในขณะนั้นว่า ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านั้น แต่เรื่องเหล่านั้นการใช้เงินในขณะนั้นจะไม่เห็นผลหรือจะไม่สามารถทำได้ แต่สิ่งที่อยากจะทำคือว่า เร่งทำให้รายได้ของคนในประเทศไม่ตกลงไป ลดรายจ่ายของคนในประเทศ เพื่อที่จะให้ประชาชนนั้นมีส่วนสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน และไม่ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงจนเกินไป
เมื่อสามารถหยุดยั้งการถดถอยตรงนั้นได้ ก็จะมีเวลาในระหว่างนั้นในการเตรียมโครงการลงทุน เพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบต่อไป ซึ่งก็คือที่มาของปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ตนอยากจะชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า หลังจากที่ได้วางแนวของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างนี้ ผลของมันคืออะไร เช่น จะเห็นจากเรื่องของปัญหาการว่างงานก่อน ตนขอยกตัวอย่าง คือ โครงการต้นกล้าอาชีพ เข้ามาเพื่อที่จะรองรับการที่คนกำลังจะตกงานบ้าง หรือคนที่ถูกปลดออกจากงานบ้าง หรือ คนที่จบการศึกษามาใหม่ ก็มีโครงการพิเศษขึ้นมาเติมจากสิ่งที่กระทรวงแรงงานกระทำอยู่ตามปกติว่าจะมีการเร่งฝึกอบรม สร้างทักษะ สร้างโอกาสให้คนกลับเข้าไปประกอบอาชีพได้ หรือมีงานทำ หรือไม่ถูกเลิกจ้าง สุดท้ายทำได้เกินเป้ามีคนอยากจะขอเข้ามาในโครงการนี้ 8 แสนกว่าคน ถึงวันนี้ ฝึกอบรมไปแล้ว 4 แสนกว่าคน ใน 4 แสนกว่าคนเกือบ 3 แสนคน กลับเข้าสู่ภาวะการมีงานทำ และที่สำคัญคือว่า ทำโครงการนี้ตั้งงบประมาณไว้ตอนต้นประมาณ 13,000 ล้านบาท ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมีนาคม 2553 เอาเข้าจริง ๆ ทำได้เกินเป้าโดยใช้เงินน้อยกว่าที่ตั้งงบประมาณไว้ถึง 5,000 ล้านบาท สิ่งที่ยกมาเป็นเพียงหนึ่งโครงการเท่านั้น ที่เป็นความคิดริเริ่มของรัฐบาลนี้ สอดคล้องกับสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตอนนั้น ปฏิบัติจริงและได้ผล ก็จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มองเห็นภาพปัญหาการว่างงาน ซึ่งเมื่อตอนต้นปีอยู่ที่ประมาณ 7-8 แสนคน และคนก็มีการคาดการณ์ว่า 1 ล้านคน , 1 ล้าน 5 แสนคน , 2 ล้านคน
แต่จะเห็นว่านับตั้งแต่มาตรการเศรษฐกิจในรอบแรก นับตั้งแต่มาตรการเศรษฐกิจในรอบแรกเริ่มออกไปก็คือประมาณปลายเดือนมีนาคม นับตั้งแต่นั้นมาอัตราการว่างงานลดลงโดยลำดับ จนขณะนี้เหลือประมาณ 4 แสนคน ซึ่งถือว่าเป็นระดับปกติ ถ้าเทียบกับภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไป ถ้าคิดเป็นอัตราคือร้อยละ 1.2 หรือต่ำกว่านั้นด้วยซ้ำ อยากจะเรียนว่าความสำเร็จตรงนี้สำคัญสำหรับตน สำหรับรัฐบาล เพราะว่าตั้งแต่ต้นที่กลัวที่สุดจากวิกฤตเศรษฐกิจก็ คือ คนไม่มีงานทำ คนตกงาน และตนกล้าพูดว่าตนมีความภาคภูมิใจ เพราะไปประชุมในต่างประเทศบ่อย ตัวเลขที่ผู้นำรัฐบาลทุกประเทศ เวลาพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจกัน พอพูดถึงเรื่องผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีพีดี) เสร็จ ต้องมาพูดถึงเรื่องตัวเลขปัญหาการว่างงาน และเมื่อต่างประเทศได้รับทราบว่าตัวเลขของไทยลดลงมาหลายเดือนแล้วอยู่ในระดับที่ต่ำแทบจะเรียกได้ว่า เทียบเคียงกับอัตราปกติ ก็ยอมรับว่า นั่นคือความสำเร็จของการฟันฝ่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในรอบนี้
เพราะฉะนั้น ตรงนี้เป็นเรื่องรูปธรรมของการก้าวพ้นวิกฤตเศรษฐกิจจากการทำงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา การจ้างงานก็สูงขึ้น และที่สำคัญคือว่า เมื่อสามารถรักษาเศรษฐกิจภายในประเทศได้ดีพอสมควรระยะหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยเฉพาะ 3 เดือนสุดท้าย เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นขึ้น ทุกอย่างก็จะรับกัน ก็จะได้รับอานิสงส์จากตรงนั้นด้วย จากความพร้อมของเศรษฐกิจในประเทศด้วย ทำให้รายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยว จากการส่งออก ซึ่งเราก็มีมาตรการการทำงานของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงอื่น ๆ นั้น ก็ทำให้เริ่มเห็นผลสำเร็จที่ตามมา
ส่วนตัวเลขการเปรียบเทียบนักท่องเที่ยวปี 2551 กับปี 2552 ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงแรก ๆ ของปี ตัวเลขของปีนี้จะต่ำมาเกือบตลอด จนกระทั่งมีช่วงหนึ่งมีคนบอกว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวถึง 10 ล้านคนหรือไม่ แต่ว่าพอครึ่งปีหลังจะเห็นว่าปีนี้แซงปีที่แล้วด้วยซ้ำ แล้วขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็มั่นใจว่า 14 ล้านคนใกล้เคียงครับตัวเลขตัวนั้น ถ้าดูเป็นอัตราการเติบโตจะยิ่งเห็นชัดครับว่าการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างไร ตัวเส้นที่ปรากฏอยู่บนจอนั้นจะเป็นการบ่งบอกให้เห็นว่าได้พุ่งขึ้นมาสูงอย่างไร เช่นเดียวกันกับการส่งออก ในช่วงแรกก็จะเป็นการหดตัวที่ค่อนข้างจะรุนแรง แต่ว่าการส่งออกนั้นถ้าเทียบกันเดือนต่อเดือน ก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน อัตราการขยายตัวของการส่งออกปีต่อปีก็กลับมาเป็นบวกที่ร้อยละ 17 ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ในที่สุดว่า ถ้ามาดูจีดีพีจะเห็นได้ว่าการฟื้นตัวได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว เพราะตอนต้นปีเถียงกันบอกจะเป็นตัว U หรือจะเป็นตัว L เราก็ยืนยันว่าจะทำให้ใกล้เคียงตัว V ที่สุด สิ่งที่ปรากฏบนจอนี้น่าจะยืนยันได้ครับว่าเป้าหมายที่ได้ประกาศไว้ปลายปีนี้ มั่นใจว่าเศรษฐกิจกลับ มาอยู่ในแดนบวก และเป็นการฟื้นตัวค่อนข้างรวดเร็วนั้น ตนถือว่าได้ดำเนินการมาอย่างเรียบร้อย และเป็นสิ่งที่จะทำให้มีความมั่นใจในการก้าวสู่ขั้นต่อไปของนโยบายเศรษฐกิจในเรื่องของการปรับโครงสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะได้พูดต่อไป
วิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเกิดขึ้น ตนได้พูดตั้งแต่วันแรกว่าไม่ได้หมายความว่าหน้าที่รัฐบาลชุดนี้จะเพียงทำให้เศรษฐกิจฟื้นเท่านั้น เราไม่ลืมว่าสิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญของพี่น้องประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ คือ ปัญหาเรื่องหลักประกันและสวัสดิการ เราได้ถือโอกาสของการที่เศรษฐกิจหดตัว สมัยก่อนเศรษฐกิจหดตัว คนก็จะมีความวิตกกังวลว่ารัฐบาลจะมุ่งไปกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่มีเงินสำหรับที่จะช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้เราพิสูจน์ให้เห็นว่านโยบายที่ทำ สามารถแก้วิกฤตเศรษฐกิจ และเพิ่มสวัสดิการ เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนโดยตรงด้วย โดยยึดเอาแนวคิดที่บอกว่าประชาชนต้องมาก่อน เพราะฉะนั้น สวัสดิการของประชาชนที่เกิดขึ้นในช่วงตลอดปีที่ผ่านมาครอบคลุมหมดเลย ไล่ตั้งแต่เด็กเล็ก มีการลงทุนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขยายนมโรงเรียน เรียนฟรี 15 ปี ขยายเงินกองทุนกู้เงินเพื่อการศึกษา มีการเพิ่มบริการลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ตั้งแต่เรื่องอุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ การจัดให้มีช่องพิเศษในเรื่องของติวเตอร์ ชาแนล เป็นต้น
ที่จริงแล้วสวัสดิการที่เกิดขึ้นตลอด 1 ปีที่ผ่านมา บนจอนี้ยังไม่หมดเลย เพราะผู้สูงอายุได้เบี้ยยังชีพทุกคนเป็นครั้งแรก อสม. ได้เงินตอบแทนเป็นครั้งแรก เบี้ยคนพิการขึ้นทะเบียนแล้ว เมษายน 2553 ได้ครบทุกคนเป็นครั้งแรก สถานีอนามัยกำลังถูกยกระดับขึ้นมาเป็นโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพระดับตำบล องค์กรในชุมชน ซึ่งเคยมีระบบสวัสดิการอยู่ก่อน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 ตนจะโอนเงินของรัฐบาลเข้าไปสมทบ เพื่อขยายไปยังทั่วประเทศ ประกันสังคม คนที่ไม่ได้เป็นแรงงานในระบบเดิม ต้องเสียเงินเป็นรายปี กำลังเปิดโอกาสให้สามารถที่จะสมทบเงินเป็นรายเดือนได้ เพิ่มสิทธิประโยชน์อีก 2 อย่าง คนไม่มีที่ทำกินหลายพื้นที่กำลังเข้าสู่ระบบของโฉนดชุมชน คนไม่มีที่อยู่อาศัยในเมืองหลายคนขณะนี้กำลังได้ประโยชน์จากโครงการบ้านมั่นคง ประชาชน ซึ่งเคยมีปัญหาข้อขัดแย้งกับรัฐเรื่องที่ทำกิน เรื่องค่าชดเชย หลายกลุ่มมีปัญหายืดเยื้อมาเป็นสิบปี แต่ยุติในรัฐบาลนี้ เช่น กรณีของสมัชชาคนจนในบางกรณี เช่น ราษีไศล เป็นต้น
ไม่นับว่าระบบสวัสดิการที่มีอยู่ ก็ดูแลไม่ให้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น ระบบประกันสุขภาพนั้น ค่าใช้จ่ายต่อหัวก็เพิ่มขึ้น มีอีกเยอะนะครับ ลูกจ้างประจำได้บำนาญเป็นครั้งแรก มาตรการภาษีเพื่อช่วยคนที่ได้รับประโยชน์จาก กบข. จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น เพราะฉะนั้นสวัสดิการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ ถือว่านอกจากจะช่วยให้ประชาชนก้าวพ้นวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว สังคมไทยก็กำลังก้าวพ้นประชานิยม สู่ระบบสวัสดิการที่แท้จริงที่เป็นเรื่องของสิทธิ ไม่ใช่การสงเคราะห์จากรัฐบาลอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นโยบายที่ได้ริเริ่มและเป็นนโยบายที่มีผลกระทบกับคนมากที่สุด และอยู่บนหลักคิดเรื่องการสร้างสวัสดิการ การสร้างหลักประกันก็ คือ โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร เป็นการพลิกโฉมเรื่องของการเกษตรและการแทรกแซงจากภาครัฐโดยสิ้นเชิง หลายคนทราบดีว่าในอดีตเราไล่ตามแก้ปัญหาของพี่น้องเกษตรกร คือ รอผลผลิตออกมา รอราคาตกต่ำ แล้วก็วิ่งเข้าไปแทรกแซง รับซื้อบ้าง จำนำบ้าง ฝืนกลไกตลาด เกิดปัญหาการทุจริต ภาระการบริหาร เป็นเรื่องของการเก็บ การระบายสินค้า เป็นต้น
เราเปลี่ยนแนวทางโดยการสร้างหลักประกันให้เกษตรกรว่า ทำการเกษตรแล้วไม่ขาดทุน ทำเรื่องข้าว ทำเรื่องข้าวโพด ทำเรื่องมันสำปะหลัง ครอบคลุมประมาณ 4 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ วันนี้โครงการยังไม่เสร็จสิ้น แต่กล้ายืนยันได้ว่าประสบความสำเร็จ ที่สำคัญก็คือ ความสำเร็จนี้ ถ้าเทียบเคียงกับระบบเดิม ๆ ที่เคยใช้ ตัวเลขมันบอกชัด ขณะนี้ที่ตัวเลขเสร็จสมบูรณ์แล้วก็จะเป็นกรณีของข้าวโพดครับ จะพบข้อเท็จจริงว่าการแทรกแซงข้าวโพดด้วยระบบจำนำกับระบบประกันนี้ใช้เงิน ใกล้เคียงกันครับประมาณ 5,000 กว่าล้านบาท แต่ 5,000 กว่าล้านบาท ในระบบจำนำช่วยเกษตรกรได้ประมาณ 70,000 หรือ 80,000 ครัวเรือน แต่ว่าถ้าเป็นระบบประกันที่รัฐบาลดำเนินการมาเป็น 400,000 ประมาณ 5 เท่าครับ ที่สำคัญก็คือใน 5,000 ล้านบาทที่ไปช่วยในโครงการจำนำนี้ประมาณ 1,500 ล้านบาทเป็นค่าบริหารครับ ไม่ได้เป็นเงินที่ไปถึงเกษตรกร ในขณะที่ค่าบริหารในระบบประกันนั้นประมาณ 1 ใน 10 คือ 100 กว่าล้านบาทเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น เหล่านี้เป็นรูปธรรมว่ารัฐบาลได้คิดริเริ่มนโยบายที่ส่งผลชัดเจนที่สุดต่อคนในกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ ในการที่จะยกระดับความเป็นอยู่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ แล้วก็ได้ดำเนินการจนประสบความสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้นการทำงาน 1 ปีที่ผ่านมา ถือว่า ก้าวพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ และได้ก้าวพ้นสังคมแบบประชานิยมมาสู่ระบบของสวัสดิการ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก






