
ทักษิณ - อภิสิทธิ์
มาร์คกับแม้ว ใครคือปัญหา? (ข่าวสด)
เพียงแค่สัปดาห์แรกของการเมืองปีเสือไฟ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ต้องเจอบททดสอบ "ภาวะผู้นำ" แบบหนัก ๆ หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ทั้งที่เป็นอุณหภูมิสะสมต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว อย่างเช่นกรณี ม็อบเสื้อแดง และการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน ที่คาดว่าจะระเบิดศึกขึ้นพร้อมกันในช่วงปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป เนื่องจากเป็นห้วงเวลาใกล้ชี้ขาดคดีความสำคัญคือ คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์มาตรฐานกระบวนการยุติธรรมภายใต้แรงกดดันทางการเมืองแบบแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อันเป็นผลจากบทสรุปของคณะกรรม การตรวจสอบโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข ที่บานปลายกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยอีกครั้ง หลังจากทั้ง 2 พรรค ประพฤติตนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเรื่อยมา ตั้งแต่เรื่องโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน การทำงานของกระทรวงพาณิชย์
และชัดเจนที่สุดในกรณีแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. เช่นเดียวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังถูกรุมกินโต๊ะจากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา หรือแม้แต่พรรคเพื่อแผ่นดิน จนทำให้เสถียรภาพรัฐบาลเริ่มสั่นคลอน
และประเด็นแทรกซ้อนขึ้นมาในช่วงรัฐบาลครบรอบขวบปี นั่นคือกรณี "ล้มหวยออนไลน์" การที่ต่อมศีลธรรม นายอภิสิทธิ์ ลุกขึ้นมาทำงานอย่างปัจจุบันทันด่วน ด้านหนึ่งกลับกลายเป็นการเติมประเด็นความขัดแย้งให้กับสังคม เสียเอง ระหว่างผู้อยู่ในโลกอุดมคติกับผู้อยู่ในโลกความเป็นจริง ถึงจะยังวัดไม่ได้ว่าฝ่ายใดมีมากกว่ากัน แต่ที่แน่ ๆ คือ นายอภิสิทธิ์ ได้เป็นผู้ลงมือผลักไสคนกลุ่มหนึ่งให้ไปยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
การเมืองหลังการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเครือข่ายที่ยังหลงเหลือจากการกวาดล้าง ซึ่งก่อรูปขึ้นใหม่เป็นพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ถูกมองเป็นตัวการหลักทำให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยกเรื้อรังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่กระนั้นก็ตามตลอด 1 ปีเต็มที่ผ่านมาในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ปรากฏเหตุการณ์หลายอย่างทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จนทำให้หลายคนเริ่มไขว้เขวว่าการที่บ้านเมืองเดินไปไม่ถึงจุดสมานฉันท์ นั่นเป็นเพราะ "ทักษิณ" ยังเคลื่อนไหวไม่หยุด หรือว่ามีปัจจัยอย่างอื่นแทรกซึมอยู่ด้วย เนื่องจากมีปัญหาจำนวนไม่น้อยเกิดจากสนิมเนื้อในรัฐบาลเอง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
อย่างเช่นการปรับคณะรัฐมนตรี ที่พรรคประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรี ต้องการบีบให้น ายมานิต นพอมรบดี รมช. สาธารณสุข จากพรรคภูมิใจไทย ปฏิบัติตามกฎเหล็ก 9 ข้อ แสดงสปิริตลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อผลการตรวจสอบโครงการไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธารณสุข เช่นเดียวกับ นายวิทยา แก้วภราดัย อดีตรมว.สาธารณสุข
แต่แกนนำพรรคภูมิใจไทยและ นายมานิต แสดงอาการยึดยื้อไม่ยอมทำตาม โดยหยิบยกเอาจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ กรณี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ในโครงการชุมชนพอเพียง มาเป็นข้ออ้าง สุดท้ายแม้ นายมานิต จะทนแรงกดดันไม่ได้ แต่เชื่อว่าความขัดแย้งระหว่าง 2 พรรคนี้คงไม่จบลงง่าย ๆ แน่
หรืออย่างกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เกิดจากการที่พรรคประชาธิปัตย์ทำท่าว่าจะ "เบี้ยวสัญญา" ที่ให้ไว้กับพรรคร่วมเมื่อครั้งย้ายขั้วมาจับมือจัดตั้งรัฐบาล ทำให้แกนนำพรรคร่วมตัวจริงเสียงจริงอย่าง นายบรรหาร ศิลปอาชา และ นายเนวิน ชิดชอบ ต้องออกมาทวงสัญญากันยกใหญ่ จนหลายคนเชื่อว่างานนี้หากประชาธิปัตย์เคลียร์กับพรรคร่วมไม่ได้ เรื่องอาจจะบานปลายใหญ่โต เป็นปัจจัยชี้ขาดการอยู่รอดของรัฐบาลยิ่งกว่าปัญหาม็อบเสื้อแดง และการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านเสียด้วยซ้ำ
ท่ามกลางมรสุมรุมเร้ารัฐบาลทั้งจากภายในและภายนอก ปรากฏว่าคนที่ออกมาพูดถึง "จุดอ่อน" ของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ได้เข้าเป้ามากที่สุด ก็คือ นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายพิชัย กล่าวชื่นชม นายอภิสิทธิ์ ว่าเป็นคนเก่งและดี ไม่มีประวัติด่างพร้อยเรื่องการคอร์รัปชั่น แต่ข้อเสียคือไม่รู้จักใช้คน สะท้อนจากการที่รัฐบาลชุดนี้ทำงานโดยคนเพียงไม่กี่คน และอีกอย่างคือการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยของรัฐบาล ที่เต็มไปด้วยการตั้งเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเงื่อนไขกับฝ่าย "ทักษิณ" หรือกรณีปัญหาความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา ซึ่งการตั้งเงื่อนไขไว้ก่อนล่วงหน้านี้เองทำให้การเจรจาเพื่อยุติปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ เดินหน้าต่อไม่ได้ และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ นายพิชัย ให้คะแนนการทำงานของนายกรัฐมนตรีรุ่นหลานเพียง 5 คะแนนเท่านั้น
ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นนายกรัฐมตรีที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงถึงสูงมาก จนบางครั้งกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างชัด ๆ อย่างการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นปัญหาคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้ การบีบปรับคณะรัฐมนตรีข้ามพรรคท่ามกลางเสียงครหา "สองมาตรฐาน" ในการบังคับใช้กฎเหล็ก ตลอดจนการใช้ลีลานักโต้วาทีเพื่อหาทางหลีกเลี่ยง ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญตามสัญญาที่ให้ไว้กับพรรคร่วม ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อหาทางฉีกสัญญาหวยออนไลน์ การวางเงื่อนไขแบบสุดโต่งในการเจรจายุติสงครามกับ "ทักษิณ"
เหล่านี้ทำให้สังคมมองว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่ต่างจากมือข้างหนึ่งที่ร่วมกับมืออีกข้างของ พ.ต.ท. ทักษิณ สองแรงแข็งขันช่วยกันผลักดันการเมือง ให้ขยับเข้าใกล้เส้นศูนย์สูตรเข้าไปทุกที
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก







