วันอัฏฐมีบูชา คือ วันหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว 8 วัน ซึ่งวันอัฏฐมีบูชามีประวัติความเป็นมา และประกอบพิธีอะไรในวันนี้บ้าง เรามีข้อมูลมาฝาก
วันอัฏฐมีบูชา คือวันอะไร ตรงกับวันที่เท่าไหร่ มีในพุทธประวัติ ซึ่งปัจจุบันแทบไม่เห็นปรากฏบนปฏิทิน ทำให้วันอัฏฐมีบูชานับวันยิ่งถูกลืม ทั้งที่วันอัฏฐมีบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่นับจากวันวิสาขบูชาไปเพียง 8 วัน หรือกล่าวคือ วันอัฏฐมีบูชา ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ทั้งนี้ หากปีใดมีอธิกมาส หรือมี 366 วัน วันอัฏฐมีบูชา ก็จะถูกเลื่อนไปตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 7 แทนนั่นเอง
วันอัฏฐมีบูชา คือวันอะไร มีความสำคัญอย่างไร
สำหรับ วันอัฏฐมีบูชา หรือ วันอัฏฐมี คือ วันคล้ายวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 วัน โดยมีการทำพิธี ณ มกุฏพันธนเจดีย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ประเทศอินเดีย ซึ่งเมื่อครั้งโบราณกาล วันอัฏฐมีบูชา นับเป็นวันที่ชาวพุทธมีความโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องสูญเสียพระบรมสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดา ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง
ด้วยเหตุนี้เมื่อวันอัฏฐมีบูชาเวียนมาบรรจบในแต่ละปี พุทธศาสนิกชนจึงพร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาขึ้นเป็นการเฉพาะในวันสำคัญนี้เพื่อระลึกถึงพระพุทธคุณ
ประวัติวันอัฏฐมีบูชา
ตามประวัติ วันอัฏฐมีบูชา ระบุไว้ว่า หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานใต้ต้นสาละ ในราตรี 15 ค่ำ เดือน 6 เหล่าเจ้ามัลลกษัตริย์ก็จัดพิธีบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิด ที่มีอยู่ในเมืองกุสินารา ตลอด 7 วัน และให้เจ้ามัลละระดับหัวหน้า 8 คน สรงเกล้า นุ่งห่มผ้าใหม่ อัญเชิญพระสรีระไปทางทิศตะวันออกของพระนคร เพื่อถวายพระเพลิง
จากนั้นก็ให้พวกเจ้ามัลละระดับหัวหน้า 4 คน พยายามจุดไฟที่เชิงตะกอน แต่ก็ไม่อาจทำให้ไฟติดได้ ทั้งที่ได้ทำตามคำของพระอานนท์เถระ ที่ให้ห่อพระสรีระพระพุทธเจ้าด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี แล้วใช้ผ้าใหม่ห่อทับอีก ทำเช่นนี้จนหมดผ้า 500 คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็กที่เติมด้วยน้ำมัน แล้วทำจิตกาธานด้วยดอกไม้จันทน์และของหอมทุกชนิด
ในการนี้ พระอนุรุทธะ จึงแจ้งว่า "เพราะเทวดามีความประสงค์ให้รอพระมหากัสสปะ และภิกษุหมู่ใหญ่ 500 รูป ผู้กำลังเดินทางมาเพื่อถวายบังคมพระบาทเสียก่อน ไฟก็จะลุกไหม้" ทั้งนี้ เนื่องจากเทวดาเหล่านั้นเคยเป็นโยมอุปัฏฐากของพระเถระ และพระสาวกผู้ใหญ่มาก่อน จึงไม่ยินดีที่ไม่เห็นพระมหากัสสปะอยู่ในพิธี และเมื่อภิกษุหมู่ 500 รูป โดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน เดินทางมาพร้อมกัน ณ ที่ถวายพระเพลิง ไฟจึงลุกโชนขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครจุด
เมื่อบรรดากษัตริย์จากแคว้นต่าง ๆ ได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานที่นครกุสินารา จึงได้ส่งตัวแทนไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเพื่อนำกลับมาสักการะยังแคว้นของตน แต่ก็ถูกกษัตริย์มัลละปฏิเสธ จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งและเตรียมทำสงครามกัน แต่ในที่สุดเหตุการณ์ก็มิได้บานปลาย เนื่องจาก "โทณพราหมณ์" พราหมณ์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง โดยประกาศว่า
"พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ทรงสรรเสริญขันติ สรรเสริญสามัคคีธรรม การที่เราจะมาประหัตประหารเพราะแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ผู้ประเสริฐ ย่อมไม่สมควร ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงยินดีในการที่จะแบ่งกันไปเป็น 8 ส่วน และนำไปบูชายังบ้านเมืองของท่านทั้งหลายเถิด เพราะผู้ศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีมาก"
เมื่อโทณพราหมณ์ได้เสนอให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนเท่า ๆ กัน กษัตริย์แต่ละเมืองก็ยอมรับแต่โดยดี และกลับไปสร้างเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามเมืองของตัวเอง ดังนี้
1. กษัตริย์ลิจฉวี ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองเวสาลี
2. กษัตริย์ศากยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองกบิลพัสดุ์
3. กษัตริย์ถูลิยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองอัลลกัปปะ
4. กษัตริย์โกลิยะ ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองรามคาม
5. มหาพราหมณ์ สร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองเวฏฐทีปกะ
6. กษัตริย์มัลละแห่งเมืองปาวา ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองปาวา
7. พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองราชคฤห์
8. มัลลกษัตริย์แห่งกุสินารา ทรงสร้างเจดีย์บรรจุไว้ที่เมืองกุสินารา
9. กษัตริย์เมืองโมริยะ ทรงสร้างสถูปบรรจุพระอังคาร (อังคารสถูป) ที่เมืองปิปผลิวัน
10. โทณพราหมณ์ สร้างสถูปบรรจุทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุ ที่เมืองกุสินารา (ทะนานตวงพระบรมสารีริกธาตุแจก, คำว่า ตุมพะ แปลว่า ทะนาน, บางทีเรียกสถูปนี้ว่า ตุมพสถูป)
การประกอบพิธีวันอัฏฐมีบูชา
ปัจจุบันการประกอบพิธี วันอัฏฐมีบูชา ในประเทศไทย มีเพียงบางวัดเท่านั้นที่จะจัดให้มีการทำพิธีบำเพ็ญกุศลในวันนี้ เช่น วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เป็นต้น โดยการบำเพ็ญกุศลในวันอัฏฐมีบูชาจะปฏิบัติอย่างเดียวกันกับการประกอบพิธีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันอื่น ๆ ที่มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และมีการเวียนเทียนในตอนค่ำ
อย่างไรก็ดี บางวัดในบางจังหวัดยังมีการนิยมบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันอัฏฐมีบูชานี้อยู่บ้าง บางแห่งถึงกับจัดเป็นงานใหญ่ มีการจำลองเหตุการณ์วันถวายพระเพลิงพุทธสรีระ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งพุทธกาลด้วย เช่น วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งในทุก ๆ ปีจะมีประชาชนชาว จ.อุตรดิตถ์ และจังหวัดใกล้เคียง เข้าชมเป็นจำนวนมาก
คำถวายดอกไม้ธูปเทียนในวันอัฏฐมีบูชา
สำหรับคำถวายดอกไม้ เนื่องในวันอัฏฐมีบูชา มีข้อความดังนี้ยะ มัมหะ โข มะยัง
ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา
โย โน ภะคะวา สัตถา
ยัสสะ
จะ มะยัง
ภะคะวะโต ธัมมัง โรเจมะ
อะโหสิ โข โส ภะคะวา
มัชฌิเมสุ
ชะนะปะเทสุ
อะริยะเกสุ มะนุสเสสุ อุปปันโน
ขัตติโย ชาติยา
โคตะโม
โคตเตนะ
สักยะปุตโต สักยะกุลา ปัพพะชิโต
สะเทวะเก โลเก สะมาระเก
สะพรัหมะเก
สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ
อะนุตตะรัง
สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ
นิสสังสะยัง โข โส ภะคะวา
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
อะยัง โข ปะนะ ถูโป (ปฏิมา) ตัง ภะคะวันตัง
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจะระณะสัมปันโน
สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร
ปุริสทัมมะสาระถิ
สัตถา เทวะมะนุสสานัง
พุทโธ ภะคะวา
สวากขาโต โข ปะนะ
เตนะ ภะคะวา ธัมโม
สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ
สุปะฏิปันโน โข ปะนัสสะ
ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต
สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
ยะทิทัง จัตตาริ
ปุริสะยุคานิ
อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชลีกะระณีโย
อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ
อะยัง โข ปะนะ ถูโป (ปฏิมา) ตัง ภะคะวันตัง
อุททิสสะ กโต (อุททิสสิ กตา)
ยาวะเทวะ ทัสสะเนนะ
ตัง ภะคะวันตัง อะนุสสะริตวา
ปะสาทะสังเวคะปะฏิลาภายะ
มะยัง โข เอตะระหิ
อิมัง วิสาขะปุณณะมิโตปะรัง
อัฏฐะมีกาลัง
ตัสสะ ภะคะวะโต สรีรัชฌาปะนะกาละสัมมะตัง ปัตวา
อิมัง ฐานัง
สัมปัตตา
อิเม ทัณฑะทีปะธูปะ
ปุปผาทิสักกาเร คะเหตวา
อัตตะโน กายัง
สักการุปะธานัง กะริตวา
ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภุจเจ คุเณ อะนุสสะรันตา
อิมัง ถูปัง (ปะฏิมาฆะรัง) ติกขัตตุง ปะทักขิณัง กะริสสามะ
ยะถาคะหิเตหิ
สักกาเรหิ ปูชัง กุรุมานา
สาธุ โน ภันเต ภะคะวา
สาธุ โน ภันเต ภะคะวา
สุจิระปะรินิพพุโตปิ
ญาตัพเพหิ คุเณหิ
อะตีตารัมมะณะตายะ ปัญญายะมาโน
อิเม อัมเหหิ คะหิเต
สักกาเร ปะฏิคคัณหาตุ