ทำแท้งเถื่อน ปัญหาอยู่ตรงไหน? (ไทยโพสต์)
2,002 ศพทารก ที่กองสุมล้นโกดังเก็บศพวัดไผ่เงินโชตนาราม เขตบางคอแหลม สร้างความเศร้าสะเทือนใจแก่ประชาชนทั่วไปที่ทราบข่าวเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งในฐานะชาวพุทธ ซากศพเหล่านี้ที่เป็นเหยื่อการทำแท้งเถื่อน ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มิได้หวั่นเกรงต่อการทำบาปมหันต์เหล่านี้เลย
การทำแท้ง ที่กฎหมายปัจจุบันอนุญาตให้สามารถทำได้คือในกรณีที่หญิงถูกข่มขืนแล้วตั้งครรภ์ หรือหากปล่อยไว้มารดาหรือทารกในครรภ์อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่จากสังคมที่เปลี่ยนไป เกิดสิ่งเร้ายั่วยุให้วัยรุ่นหันมาหมกมุ่นเรื่องเพศเร็วขึ้นและเสี่ยงขึ้น ขณะที่พ่อแม่ก็มีเวลาดูแลลูกน้อยลง และอีกสารพัดปัญหา ส่งผลให้เกิดปัญหาท้องโดยยังไม่พร้อมมากขึ้นเป็นลำดับ กรณีทารกกว่า 2,000 ศพที่วัดไผ่เงิน แท้จริงเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่มาให้สังคมได้เห็น การทำแท้งเถื่อนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศแต่ละปีย่อมมีจำนวนมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
คุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน อังอุบลกุล ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวว่า ปัญหาการทำแท้งเกิดจากสังคม เพราะสังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไป คือมีความเจริญในด้านต่าง ๆ มากขึ้น และเมื่อมีความเจริญมากขึ้น ทำให้มีการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารที่เร็ว เมื่อทุกอย่างรวดเร็วเกินไป ทำให้เด็กเข้าใจหรือไม่เข้าใจบ้าง จึงทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้เกิดตามมาอย่างเช่นในปัจจุบัน
"บางครั้งพ่อแม่ก็พยายามไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หรือพูดง่าย ๆ ว่ามุ่งแก้ไขที่ตัวเด็ก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราฐานะที่เป็นพ่อแม่ ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า เด็กนั้นเขายังอ่อนประสบการณ์ และยังขาดวิจารณญาณ ขาดการยับยั้งชั่งใจ เพราะอายุยังน้อย ดังนั้นผู้ปกครองต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำและต้องเป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจ เนื่องจากเด็กเหล่านี้ต้องการกำลังใจ และที่สำคัญ ไม่ควรไปซ้ำเติมในสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้ว"
คุณหญิงณัฐิกากล่าวถึงแนวทางแก้ไขปัญหานี้ว่า อันดับแรกคือต้องรณรงค์ปลูกฝังให้ทุกครอบครัวตระหนักและรับทราบถึงข้อเสียของการทำแท้งว่าเป็นอย่างไร และจะเกิดผลอย่างไรตามมา รวมถึงต้องทำการรณรงค์ในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันต้องดึงเพศชายที่เป็นคู่กรณีของเรื่องนี้มาร่วมช่วยกันรณรงค์อีกทางหนึ่งเพื่อหาทางออกร่วมกัน และทำให้เขาตระหนักว่าสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปนั้น สิ่งผลต่ออีกฝ่ายอย่างไรบ้าง
คุณสุทธินี เมธีประภา ประธานฝ่ายกฎหมายและสถานภาพสตรี กล่าวว่า ปัญหานี้เกิดจากสังคมในยุคปัจจุบันเป็นสังคมที่รับเอาวัฒนธรรมมาจากต่างประเทศมากเกินไป หรือเรียกได้ว่าเป็นยุคของการไหลเข้ามาของข้อมูลข่าวสารนั่นเอง จึงทำให้ปัญหานี้ควบคุมได้ยาก ประกอบกับครอบครัวยุคใหม่ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องประกอบอาชีพเป็นหลัก ทำให้ขาดการดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด
"เด็ก ๆ ถูกปล่อยให้อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทำให้การซึมซับเรื่องเพศเป็นไปอย่างทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว และที่สำคัญสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือสื่อต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ยั่วยุให้เด็กเปิดเสรีทางเพศมากขึ้น และเมื่อเด็กเปิดเสรีทางเพศมากขึ้น ประกอบกับการถูกกล่อมเกลาให้รักนวลสงวนตัวจางหายไปจากสังคมไทย จึงทำให้เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยโดยไม่รู้จักป้องกันมากขึ้น จนทำให้เกิดการตั้งท้องที่ไม่พึงประสงค์ และเมื่อท้องโดยไม่พึงประสงค์มันก็จะนำมาซึ่งการทำแท้งเถื่อนนั่นเอง"
คุณสุทธินี เสนอว่า อยากให้ประเทศไทยมีหน่วยงานหรือศูนย์ติดตามค่าเลี้ยงดูบุตรในกรณีที่ผู้ชายเป็นฝ่ายทอดทิ้งผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แล้ว และในระหว่างที่รอค่าเลี้ยงดูจากฝ่ายชายนั้น รัฐบาลก็ต้องเป็นผู้ที่ออกงบประมาณในส่วนนี้ไปก่อน นอกจากนี้ควรมีกฎหมายอาญารองรับสำหรับการทำแท้งอย่างถูกต้องใน 3 กรณีคือ
1. ผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมและไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้
2. ในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์นั้นเป็นหัดเยอรมัน
3. การที่บุตรนั้นจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อแม่ผู้ให้กำเนิด (ซึ่งอยู่ในดุลพินิจของแพทย์แล้ว)
โดยพิจารณาทั้ง 3 ข้อให้มากกว่านี้
พ.ต.อ.วิสุทธิ์ เปล่งขำ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองกฎหมาย กล่าวถึงปัญหาของการทำแท้งว่า น่าจะมาจากปัญหาสังคม แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ที่เป็นแม่ด้วย รวมถึงเรื่องของสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการรับวัฒนธรรมมาจากชาติตะวันตก การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือการไม่พยายามเข้าไปข้องแวะกับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรโดยเด็ดขาด
"การหันมาให้ความรักและความเอาใจใส่กันให้มากขึ้นจะช่วยลดปัญหาการท้องไม่พร้อมและการทำแท้งเถื่อนได้" พ.ต.อ.วิสุทธิ์ กล่าว
ศาสตราจารย์พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงการทำแท้งว่า สาเหตุของปัญหาอยู่ที่การปล่อยให้เยาวชนของเราเข้าสู่กิจกรรมทางเพศได้เร็วเกินไป ก่อนที่เขาจะมีวุฒิภาวะและความรู้ความเข้าใจว่ากิจกรรมในลักษณะนี้จะมีผลเสียหายต่อชีวิตอย่างไร เพราะฉะนั้นหากไม่มีความรู้และความเข้าใจที่ดีพอเกี่ยวกับเรื่องเพศ จะทำให้ผลีผลามกระโจนเข้าสู่กิจกรรมนี้ เกิดปัญหาและแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็ทำให้เด็กจนตรอก สุดท้ายก็ไปทำแท้ง
การลงโทษผู้กระทำผิดให้หนักขึ้น หรือแม้กระทั่งการเปิดเสรีทำแท้ง ตรงนี้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อันดับแรกคือผู้ปกครองต้องกลับมาใกล้ชิดกับลูกหลานให้มากขึ้น โดยการให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศสัมพันธ์แต่เนิ่น ๆ และอธิบายให้เขารู้ว่าหากท้องโดยไม่พึงประสงค์นั้นมันอันตรายแค่ไหน หรือมีโทษภัยอะไรที่จะตามมา เพราะการอธิบายในตอนนี้ เป็นสิ่งที่บุตรหลานพอจะเข้าใจได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก







