เปิดแผนที่เส้นทาง 7 คนไทย ล้ำเขตปฏิบัติการกัมพูชา







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          หลายคนที่ได้รับชมการชี้แจงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการพิเศษเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 23 มกราคมผ่านมา ถึงกรณีที่ 7 คนไทยถูกทางการกัมพูชากล่าวหาว่า รุกล้ำเขตแดน อาจจะได้เห็นภาพแผนที่ที่ใช้เทคนิคพิเศษซ้อนภาพ เพื่อประกอบคำอธิบายของนายกรัฐมนตรีอยู่เบื้องหลัง ซึ่งหากใครที่ยังมีข้อสงสัย ลองมาทำความเข้าใจกับแผนที่แสดงจุดต่าง ๆ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านทาง Google Map อีกครั้งกันค่ะ




สำหรับแผนที่ที่แสดงบน Google Map ได้กำหนดจุดต่าง ๆ ด้วยสัญลักษณ์ ดังนี้

           รูปรถ หมายถึง จุดที่ 7 คนไทยลงจากรถ อยู่ที่บริเวณถนนศรีเพ็ญ

           เส้นสีแดง คือ เส้นทางที่ 7 คนไทยเดินผ่านเข้าไป

           เส้นสีเขียว คือ แนวลวดหนาม

           รูปธงด้านบน คือ แนวหลักเขตที่ 46

           รูปธงด้านล่าง คือ แนวหลักเขตที่ 47

           จุดสีน้ำเงิน คือ จุดสุดท้ายที่มีการบันทึกภาพวีดิโอไว้

           จุดสีแดง คือ จุดที่ 7 คนไทยถูกจับ บริเวณวัดโจ๊กเจีย

         ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบจากวีดิโอที่ 7 คนไทยถ่ายไว้ตั้งแต่ช่วงลงจากรถถึงถูกจุดสุดท้ายก่อนจะถูกจับกุม จะเห็นว่า ทั้ง 7 คนไทย ได้ลงจากรถที่บริเวณถนนศรีเพ็ญ (รูปรถ) จากนั้นได้เดินผ่านทุ่งนาไปตามเส้นสีแดง และผ่านเข้ามายังเขตลวดหนาม (เส้นสีเขียว) ซึ่งจุดเส้นสีเขียวนี้ เมื่อ 30 ปีก่อนได้มีชาวกัมพูชาหลบหนีการสู้รบในประเทศเข้ามา และครอบครองพื้นที่จุดนี้ไว้ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่สามารถกำหนดเขตแดนกันได้ แต่มีการตกลงกันไม่ให้เกิดการรุกล้ำอีก โดยกั้นแนวลวดหนามไว้แทน

         จากนั้น กลุ่มคนไทยได้เดินผ่านหลักเขตที่ 46 ซึ่งนายเบ เป็นเจ้าของที่ดินและมีเอกสารสิทธิ นส.3 ยืนยัน แต่ทั้งนี้ ทั้ง 7 คนไทยไม่ได้ถูกจับที่หลักเขตที่ 46 ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเอกสารสิทธิของคนไทย เพราะทั้ง 7 คนไทยได้เดินเลี้ยวต่อเข้าไปอีก และเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่ถ่ายวีดิโอ ขณะที่มาถูกกัมพูชาจับกุมตัวที่จุดสีแดง ซึ่งใกล้หลักเขตที่ 47 

         ต่อมา หลังจาก 7 คนไทยถูกจับกุม รัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปขอวัดพิกัดในจุดสีน้ำเงิน และจุดสีแดง บริเวณวัดโจ๊กเจีย ปรากฎว่า ทั้ง 2 จุดนั้นอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ตกลงเขตแดนกันอย่างชัดเจน มีเพียงเส้นสีเขียวที่เป็นเส้นกำหนดแนวปฏิบัติเท่านั้น ซึ่งหากทาบจากหลักเขตที่ 46 ไปยังหลักเขตที่ 47 เป็นเส้นตรง (เส้นสีขาว) ปรากฎว่า จุดนั้นเป็นเขตปฏิบัติการของกัมพูชา 

         อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลไทย โดยนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวยืนยันหนักแน่นว่า แม้จุดนั้นจะเป็นเขตปฏิบัติการของกัมพูชา แต่ไม่ได้หมายถึง 7 คนไทยรุกล้ำเขตแดนของกัมพูชา เพราะบริเวณดังกล่าวยังมีปัญหาเรื่องเขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้อยู่นั่นเอง ซึ่งต้องมีการเจรจาและตรวจสอบต่อไป




ออกทีวีสยบม็อบ มาร์คแจงเหตุ7คนไทย/ไม่รับศาลเขมรเรื่องเขตแดน (ไทยโพสต์) [23 มกราคม]


          นายกรัฐมนตรี แจงกรณี 7 คนไทย โดนข้อหาหารุกล้ำดินแดน ย้ำไม่เคยระบุว่า คนไทยรุกล้ำดินแดนเขมร เตรียมทำหนังสือโต้แย้ง 

          เวลา 20.30 น. วันที่ 23 มกราคม 2553 นายอภิสิทธิ์ได้ออกรายการพิเศษเพื่อชี้แจงกรณีคนไทย 7 คนถูกจับ มีความยาว 35 นาที โดยนำเทคนิคการซ้อนภาพเพื่อแสดงแผนที่เขตแดนไทย-กัมพูชาบริเวณที่เป็นปัญหาระหว่างหลักเขตที่ 46 และ 47 บริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และยังนำคลิปวิดีโอที่คณะคนไทยถ่ายไว้ระหว่างเดินทางลงพื้นที่ตั้งแต่ต้นจนจบมาฉายคู่กัน เพื่อแสดงให้เห็นเส้นทางการเดินเท้าของคณะคนไทยตั้งแต่ลงจากรถที่ถนนศรีเพ็ญจนสิ้นสุดเมื่อทหารกัมพูชาจับกุม

          "เมื่อทั้ง  7 คนได้นั่งรถตามถนนศรีเพ็ญ เมื่อเขาลงจากรถตรงจุดสีแดง และเดินลงมาบริเวณทุ่งนา ผ่านเส้นประ ซึ่งเป็นเส้นที่เป็นแนวลวดหนาม ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ชุมชนกัมพูชาเข้ามาในช่วงที่มีการสู้รบหลบหนีกัน ก็มาครอบครองพื้นที่อยู่ในบริเวณนี้ แต่ยังไม่สามารถกำหนดเส้นเขตแดนกันได้ ก็มีการตกลงกัน และปฏิบัติเป็นแนวแบบนี้หลายๆ จุด โดยกำหนดว่าทำอย่างไรอย่าให้การรุกล้ำนั้นขยายตัว จึงจะมีการกำหนดแนวไว้เป็นรั้วลวดหนาม ซึ่งปัจจุบันจะมีเส้นแนวปูนอยู่" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

          นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อเขาเดินลงมาจะเห็นว่าเขาเดินเลี้ยวขึ้นถนนที่เป็นเส้นประ ความสำคัญคือก่อนหน้านี้มีการพูดกันมาก

          1. บุคคลเหล่านี้ถูกจับกุมในบริเวณทุ่งนา ซึ่งไม่ใช่ เพราะบริเวณทุ่งนาเขาเดินผ่านมาเรียบร้อยแล้ว

          2. มีการพูดกันว่าเขา ถูกจับบนที่ดินมีเอกสารสิทธิ นส.3 ของนายเบ ปรากฏว่า นส.3 ดังกล่าวจะอยู่ที่หลักเขตที่ 46 ดังนั้นเมื่อเขาเดินมาตรงนี้แล้วเลี้ยวไป จะเห็นว่าเขาไม่ได้ถูกจับในทุ่งนา และ นส.3 ถ้าดูแบบนี้เหมือนเขากำลังเดินลึกเข้ามาในเขตของไทย

          นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันรุ่งขึ้นได้เรียกประชุมหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และ รมว.การต่างประเทศก็เดินทางไปกัมพูชา จากนั้นเราได้นำวิดีโอมาตรวจสอบ จากนั้นวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเพื่อให้กัมพูชาชี้จุดว่าจับกุมตรงไหน เราจึงบอกว่าขอวัดพิกัด พบว่าไม่ว่าจะเป็นจุดสีน้ำเงินหรือจุดสีแดง เมื่อทาบลงบนเส้นตรงระหว่างหลักเขตที่ 46 และ 47 ปรากฏว่าอยู่ฝั่งด้านนี้ (เขตปฏิบัติการกัมพูชา) ด้วยเหตุผลนี้ตนจึงต้องอธิบายเพราะแนวปฏิบัติจะแตกต่างกันอยู่

          "การที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เป็นการยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลที่ถูกจับและเดินเข้าไปนั้นอยู่ในเขตแดนกัมพูชา ผมก็จะบอกว่าตามหลักแล้วการตัดสินของศาลภายในประเทศใดประเทศหนึ่งย่อมไม่มีผลชี้เรื่องของเขตแดนได้ ความผูกพันก็จะมีเฉพาะกับคู่ความ แต่จะมาบอกว่าคำพิพากษาของกัมพูชาถือว่าอยู่ในเขตกัมพูชาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกัมพูชาลงนามใน MOU 2543 ไว้แล้วว่าบริเวณทั้งหมดเขตแดนยังไม่เป็นที่ยุติ และจะยุติได้ตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน MOU เท่านั้น เบื้องต้นผมขอยืนยันว่าไม่มีตรงไหนที่รัฐบาลจะไปยอมรับเนื้อหาสาระของศาลที่ตัดสินคดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน ตรงนี้จะเป็นคำตอบว่าเราไม่ได้สูญเสียดินแดนหรืออธิปไตยแต่อย่างใด" นายกรัฐมนตรีกล่าว

          นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ศาลต้องแปลคำพิพากษาส่งมายังฝ่ายไทย  เพื่อทำหนังสือโต้แย้งและบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าคำพิพากษาของศาลนั้นย่อมไม่เกี่ยวข้องกับการชี้เขตแดน  จากนี้ไปรัฐบาลจะมีหน้าที่ช่วยคนไทยทั้งสองต่อสู้คดีต่อไป และเราต้องเคารพการตัดสินใจและทางเลือกของคนไทยอีก 2 คน แต่จะทำให้ดีที่สุดในการสนับสนุนเพื่อให้ 2 คนที่เหลือกลับมาประเทศไทยเร็วที่สุด โดยจะปรึกษาหารือกับเจ้าตัวและทนายความ ในแง่พื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิในบริเวณนี้ แต่เจ้าของทำกินไม่ได้ ตนได้มีการปรึกษาแล้ว จะมีการดำเนินการขอเปลี่ยนแนวปฏิบัติเพื่อให้เข้าไปทำกินในพื้นที่ตัวเองได้ แต่จะมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่มี สค.1 หลายแปลงยังไม่สามารถกำหนดแนวต่างๆ ชัดเจน แต่จะตรวจสอบและประสานงานเพื่อชี้แนวให้ชัด เพื่อเป็นข้อมูลใช้ประโยชน์การอ้างกำหนดเส้นเขตแดนต่อไป

          "รัฐบาลยืนยันจะรักษาผลประโยชน์ประเทศไทย อธิปไตยไทย การแก้ไขปัญหาเขตแดนต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านด้วย ยืนยันว่าไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง หากมีเรื่องของเถื่อนชายแดนหรืออะไรก็ตาม ให้แจ้งเข้ามา จะดำเนินการเต็มที่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเอง ขอให้มาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
 

พื้นที่ทับซ้อน



ขึ้นป้ายยึดที่ทับซ้อน เขมรฉวยจังหวะหลังทหารไทยถอนกำลัง (ไทยโพสต์)


          จากกรณีที่ฝ่ายกัมพูชา ได้ทำป้ายบนแผ่นหิน ระบุว่า "ผู้รุกรานผู้ล้ำดินแดนเขมร" บริเวณใกล้กับวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระด้านทิศตะวันตกของปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทหารไทย และคนไทยทั้งชาติ เป็นอย่างมาก ซึ่งล่าสุด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทหารไทย ไปทำการรื้อถอนป้ายออกไปแล้วนั้น ขณะนี้ ทางฝ่ายกัมพูชา ยังไม่ได้มีการทำลายป้าย ที่สลักข้อความประณามคนไทย และทหารไทย บนแผ่นหินโดยระบุว่า "ผู้รุกรานผู้ล้ำดินแดนเขมร" โดยป้ายดังกล่าว คาดว่า จะถูกสร้างขึ้นช่วงหลังจากที่มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา เรื่องการถอนกำลังทหารทั้งสองฝ่ายออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเดิมที มีกำลังแต่ละฝ่าย อยู่ในวัดประมาณ 1 กองร้อย

          พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 พูดถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้กำลังประสานให้ทหารกัมพูชา รอถอนการสลักแผ่นหินที่มีข้อความภาษากัมพูชาประณามทหารไทยออกเสีย เนื่องจากพื้นที่วัดแก้วฯ เป็นพื้นที่ปัญหาใน 4.6 ตร.กม.ที่ยังไม่มีการปักปัน จึงถือว่าเป็นของไทยเช่นกัน และในข้อตกลงคือห้ามสร้างอะไรที่จะเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นเจ้าของดินแดนเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งขณะนี้รอผลว่าทางกัมพูชาจะว่าอย่างไร แต่หากเขาไม่ยอมก็ต้องประท้วง ทั้งนี้ เชื่อว่าจะเจรจากันได้

          ทางด้าน พล.ท.กนก เนตรคเวสนะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และอดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ขอชี้แจงว่าที่ต้องนำกำลังทหารราว 20 นาย บุกขึ้นไปบนวัดแก้วสิขาคีรีสวาราเมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว เพื่อช่วยเหลือคนไทยกลุ่มธรรมยาตรา 3 คน ที่ประท้วงแล้วมุดแนวรั้วประตู เข้าไปที่ทางขึ้นปราสาทแล้วถูกทหารเขมรจับกุมตัวไป ขณะนั้นเราใช้คณะกรรมการประสานงานไทย-กัมพูชาขอให้เขมรปล่อยตัวทั้ง 3 คนไทย แต่เขาไม่ยอมปล่อย จนจึงขออนุมัติในการนำกำลังทหารบุกขึ้นไปจนไปถึงวัดแก้วฯ แล้ววางกำลังที่นั่น ซึ่งมีทหารกัมพูชาอยู่มานาน เพื่อสกัดไม่ให้ทหารกัมพูชานำ 3 คนไทยลงไปทางบ้านโกมุย ที่สำคัญวัดแก้วฯ สร้างขึ้นในพื้นที่ที่ถือว่าเป็นของไทยเหมือนกัน ทหารไทยจึงมีสิทธิ์ขึ้นไปอยู่ได้ แต่ที่ผ่านมาเกือบ 10 ปีทหารไทยไม่ได้ไปอยู่ เพราะมีทหารเขมรอยู่ เราประท้วงไปเขาก็ไม่ยอมออก

          พล.ท.กนก บอกอีกว่า ช่วงนั้นฝ่ายทหารกัมพูชาตกใจที่จู่ ๆ ตนและทหารบุกขึ้นไปถึงวัดแก้วฯ เพราะที่ผ่านมาทหารไทยไม่เคยเข้าไปถึงที่นั้น แต่ตนยึดตามแผนที่ 1 ต่อ 5 หมื่นว่าเป็นพื้นที่ของไทย จึงพาทหารไทยไปอยู่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จนในที่สุดกัมพูชายอมปล่อย 3 คนไทย แล้วตนก็ขอเอกสารหลักฐานรูปถ่าย ที่ทหารกัมพูชาทำบันทึกไว้ทั้งหมดคืน จากนั้นผมได้รับคำสั่งให้อยู่ต่อไปก่อน แล้วอยู่นานเลย โดยที่ผมขึ้นไปอยู่กับทหารลูกน้องนอนในวัด เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ และอยู่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเราเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินตรงนี้ด้วย ในเมื่อยังปักปันไม่ได้ ตอนขึ้นไปอยู่ตรงนั้นกดดันมาก เพราะเรามีแค่ 20 คน โดนทหารเขมรล้อมอยู่ และกำลังเราน้อยกว่า ทหารเขมรก็ไม่พอใจเรา มีด่าเป็นภาษาเขมร แต่เราต้องอดทน ตอนนั้นคิดว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะสู้ยังไง ดูแลลูกน้องยังไง ซึ่งผมพยายามผ่อนคลายด้วยการชวนผู้นำทหารเขมรเล่นกีฬา ชนไก่ งัดข้อ ถือว่าเรามาแบบสันติ แล้วอยู่อย่างสันติ

          ส่วนกรณีที่กัมพูชากล่าวหาว่ารุกล้ำดินแดนกัมพูชานั้น พล.ท.กนก กล่าวว่า ถ้ามองในแง่ดีต้องขอบคุณเขมรที่ยกย่องแบบนี้ แต่ตนถือว่าทำหน้าที่ของทหารไทยปกป้องรักษาผืนแผ่นดิน เพราะตรงนั้นเป็นพื้นที่ของไทยเช่นกัน และสิ่งนี้จะสำคัญในอนาคตตรงที่เรา ได้บันทึกประวัติศาสตร์แล้วว่า เราขึ้นไปแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ของเราด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ทหารเขมรยึดครองอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนกรณีที่ทางกองทัพบกสั่งถอนทหารไทยออกจากวัดแก้วฯ เพราะต้องถามคนที่รับผิดชอบว่าเขามีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้ เพราะสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปบ้าง แต่ที่บนวัดแก้วฯ นั้นสำคัญ เพราะเป็นเส้นทางที่ใกล้ปราสาทและทางไปบ้านโกมุย รวมถึงเป็นฐานทหารที่วาง กำลังของฝ่ายเขมร เขาอาจกลัวว่าทหารเราจะไปบุกยึดเข้าก็อาจเป็นได้

          "เพราะที่ผ่านมาสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ก็เรียกร้องให้ทหารไทยถอนกำลังออกมาโดยตลอด ซึ่ง เรื่องที่เกี่ยวกับเขตแดนและพื้นที่ปัญหารอบปราสาทพระวิหาร เราต้องทำอย่างรอบคอบ อย่าให้เสียเปรียบ เพราะจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่ายุคไหน ใครทำอะไรไว้ ไม่อย่างนั้นชนรุ่นหลังจะตำหนิเอาได้ ซึ่งผมอยากเรียกร้องให้คนไทยที่เก่งด้านกฎหมาย ด้านประวัติศาสตร์ ร่วมมือกันในการต่อสู้ด้านกฎหมายกับกัมพูชาเพื่อความได้เปรียบ  เพราะเกรงว่าจะส่งผลต่อการปักปันเขตแดนในอนาคต เช่นเดียวกับคำตัดสินของศาล กัมพูชาต่อ 5 คนไทยที่รุกล้ำดินแดนเขมร แม้โดยไม่ตั้งใจ แต่ถือว่าเป็นการยอมรับว่าตรงนั้นเป็นแผ่นดินกัมพูชา ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปักปันกันเลย" พล.ท.กนก กล่าว





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
     , maps.google.com
เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เปิดแผนที่เส้นทาง 7 คนไทย ล้ำเขตปฏิบัติการกัมพูชา อัปเดตล่าสุด 24 มกราคม 2554 เวลา 14:49:11 47,765 อ่าน
TOP
x close