คนเก็บขยะ ยันสู้สุดใจ อ้างถูกตำรวจสับเปลี่ยนซีดี


คนเก็บขยะ ยันสู้สุดใจ อ้างถูกตำรวจสับเปลี่ยนซีดี
 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3
 
            นายสุรัตน์ คนเก็บขยะ ในคดีขายซีดีเพลงและภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ประกาศสู้สุดใจ อ้างถูกตำรวจสับเปลี่ยนซีดีของกลาง แถมถูกกดดันให้เซ็นชื่อยอมรับซีดีใหม่ ทนายลั่นจ่อฟ้องศาลปกครองตำรวจกระทำละเมิดเปลี่ยนแผ่นซีดี
 
            วันนี้ (11 กรกฎาคม) นายสุรัตน์ มณีนพรัตน์สุดา อายุ 26 ปี พนักงานเก็บขยะเขตสะพานสูง จำเลยคดีเก็บแผ่นซีดีเก่ามาขายที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษายืน สั่งปรับ 2 แสนบาท เดินทางมาพร้อมนายภิญโญภัทร์ ชิดตะวัน ทนายความ เข้าพบนายประยุทธ ศิริล้น ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา เพื่อขอคัดสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และขอเปลี่ยนหลักทรัพย์ประกันตัวจากเงินส่วนตัวของทนายความ มาเป็นเงินจากกองทุนยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิ กระทรวงยุติธรรม โดยนายประยุทธรับเรื่องแล้วเสนอศาลเพื่อพิจารณามีคำสั่งต่อไป
 
            โดยนายภิญโญภัทร์ ทนายความ กล่าวว่า คดีนี้นางทองใบ อารีรอด แม่ของนายสุรัตน์ซึ่งเป็นแม่ค้าหาบเร่แผงลอยมาขอความช่วยเหลือ หัวหน้าสำนักงานก็ส่งคดีนี้ให้ตนทำ และตนเกรงว่า นายสุรัตน์จะถูกขังจึงนำเงินส่วนตัวสำรองประกันตัวให้  ซึ่งวันนี้ทางกระทรวงยุติธรรมได้นำหลักทรัพย์ใหม่มาแทนหลักทรัพย์เก่าแล้ว
            
นายภิญโญภัทร์ กล่าวต่อว่า คดีนี้ตนจะดำเนินการเป็นสองทาง คือ
 
            1. จะฎีกาในคดีอาญา ในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายว่ามาตรา 64 กฎหมายอาญา ที่ว่า บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ แม้พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกบังคับใช้และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และกฎกระทรวงซึ่งเป็นกฎหมายลูก ที่เป็นบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวันเวลาที่ประกาศใช้นั้น ตัวจำเลยไม่รู้ว่ามีกฎหมายฉบับนี้ เพราะจำเลยเป็นคนเก็บขยะ ไม่มีความรู้ จะไปรู้กฎกระทรวงได้อย่างไร
 
            2. จะฎีกาเรื่องการรอกำหนดโทษ ทั้งนี้ตนจะยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง ในประเด็นความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ กรณีตำรวจชุดจับกุม ได้ละเมิดนายสุรัตน์ ด้วยการสลับเปลี่ยนของกลางในคดี เพราะของกลางซีดีแผ่นใหม่ไม่ใช่ของนายสุรัตน์ แต่เกิดจากการสับเปลี่ยน หากศาลปกครองฟังว่าเป็นการละเมิดจริง สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
         
            ทนายความ ยังกล่าวอีกว่า คดีนี้เป็นช่องโหว่ของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134/2 ที่ว่าในคดีโทษจำคุก ก่อนตำรวจจะสอบสวน ให้แจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องหาก่อนว่าต้องการทนายความหรือไม่ ถ้าต้องการ ให้จัดหาให้ฟรี แต่คดีนี้เป็นคดีมีโทษปรับ จึงไม่เข้าข่ายที่จะได้รับความช่วยเหลือด้านทนายความอย่างมาตรา 134/2 ดังนั้น นายสุรัตน์จึงจำต้องยอมรับหลักฐานพยานแผ่นซีดีว่าเป็นของเขา ทั้งที่ไม่ใช่ของเขา
             
            ด้านนายสุรัตน์ กล่าวว่า ตนถูกตำรวจสับเปลี่ยนของกลางจริง เพราะเดิมของกลางเป็นแผ่นซีดีภาพยนตร์เก่า ต่อมาตนนำความไปร้องหนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ 10 กันยายน 2552 ทำให้ตำรวจเดือดร้อน จึงติดต่อให้ตนไปพบเพื่อเคลียร์คดี ให้ช่วยพูดกับผู้บังคับบัญชาว่า ข้อความที่ลงในคอลัมน์เป็นความเท็จ แต่ตนไม่ยอม นอกจากนี้ ตำรวจยังให้ตนเซ็นรับรองของกลางเป็นแผ่นซีดีใหม่ ตนถูกหว่านล้อมและกดดัน จึงยอมลงชื่อ
 
            อย่างไรก็ตาม ตนเพิ่งมารู้ว่าการยอมรับหลักฐานดังกล่าว ได้ส่งผลร้ายกับตนเมื่อศาลอุทธรณ์นำมาพิจารณาเป็นประเด็นว่าตนไม่ปฏิเสธของกลาง ซึ่งตนรู้สึกเสียใจ และต้องขอโทษทนายความที่ต้องทำให้ลำบากซักค้านพยานโจทก์ให้ และต้องมาแพ้คดี คดีนี้ทำให้มารดาเครียดจนล้มป่วยเป็นอัมพาต ส่วนลูกสาวคนโต ก็ป่วยเป็นเนื้องอกในกระพุ้งแก้ม กำลังรักษาตัว เสียค่ารักษาจำนวนมากแต่ตนก็สู้เพราะกรุงเทพมหานครเพิ่งปรับเงินเดือนให้จาก 9,900 บาท เป็น 10,600 บาท
          
            นายสุรัตน์ กล่าวต่อว่า ยังไงก็จะขอสู้คดีให้ถึงที่สุด ตนอยากให้ตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือในแผ่นซีดีของกลาง เพราะตนไม่ได้จับแผ่นดังกล่าวเลย และถ้ามีลายนิ้วมือจริง ตนยินดีให้ลงโทษ แต่ถ้าไม่มีลายนิ้วมือตน ตำรวจต้องรับผิด จึงต้องขอพิสูจน์ประเด็นนี้ในศาลปกครอง เนื่องจากไม่อาจนำมาพิสูจน์ในคดีอาญาได้ทันแล้ว แต่ตนจะสู้จนขาดใจ



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก






เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
คนเก็บขยะ ยันสู้สุดใจ อ้างถูกตำรวจสับเปลี่ยนซีดี โพสต์เมื่อ 11 กรกฎาคม 2555 เวลา 16:05:49 2,523 อ่าน
TOP
x close