เปิดผังเมือง หลังเหตุไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว โรงงานที่เต็มไปด้วยสารเคมีอยู่กลางชุมชนได้อย่างไร ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบจากการวางผังอันล้มเหลว ที่เรื้อรังมาหลายสิบปี

ภาพจาก สำนักข่าว INN
จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงาน บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจการประกอบเม็ดโฟมและพลาสติกขนาดใหญ่ ในซอยกิ่งแก้ว 21 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา การระเบิดในครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ทำให้บ้านเรือน และสถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบรัศมี 500 เมตร ได้รับความเสียหาย จนต้องมีประกาศอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่ในรัศมี 5 กม. เพื่อความปลอดภัย ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่า โรงงานที่เต็มไปด้วยสารเคมีเช่นนี้ไปตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนได้อย่างไร
อ่านข่าว : อัปเดตสถานการณ์ล่าสุด ไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว จนท. ลุยปิดวาล์ว คุมเพลิงได้แล้ว
อ่านข่าว : เปิดคลิปคนนั่งดูทีวีในบ้าน เจอแรงระเบิดโรงงานกิ่งแก้วไฟไหม้ พุ่งใส่แบบไม่รู้ตัว
เรียนรู้สีของผังเมือง สีแดง ที่ตั้งของหมิงตี้เคมีคอล จริง ๆ มีจุดประสงค์เพื่อพาณิชยกรรม
โดยการกำหนดสีของพื้นที่ในรูปแบบผังเมืองนั้นมีการกำหนดสีต่าง ๆ เอาไว้เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ง่ายว่าที่ดินแต่ละประเภทนั้นเหมาะสมหรือจัดสรรไว้สำหรับทำอะไรดังนี้
1. ที่ดินประเภทอยู่อาศัย : แบ่งโซนออกเป็น 3 สี ยิ่งเข้มยิ่งแปลว่ามีปริมาณการอยู่อาศัยในพื้นที่หนาแน่น และมีรหัสกำกับคือตัว "ย."
- สีเหลือง ความหนาแน่นของการอยู่อาศัยต่ำ
- สีส้ม ความหนาแน่นของการอยู่อาศัยปานกลาง
- สีน้ำตาล ความหนาแน่นของการอยู่อาศัยสูง
2. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม : ใช้ สีแดง เป็นตัวแทนพื้นที่ที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อการพาณิชย์ โดยสามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้ และมีข้อจำกัดน้อยกว่าที่ดินสีอื่น รหัสกำกับมีตั้งแต่ พ.1-พ.5 แตกต่างกันไปตามลักษณะของทำเลที่ตั้ง
3. ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม : สีม่วง คือตัวแทนของที่ดินประเภทนี้ รหัสคือ อ.1-อ.3 สามารถสร้างที่อยู่อาศัยได้ เช่น บ้านเดี่ยว หอพัก หรือคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก รวมถึงสร้างร้านค้าได้ แต่ไม่สามารถสร้างอาคารสูงกับอาคารชุดขนาดใหญ่ได้ โดยที่ดินรหัส อ.1 สำหรับการประกอบกิจการที่มีมลพิษน้อย, อ.2 เน้นอุตสาหกรรมการผลิต ส่วน อ.3 กำหนดให้เป็นสีเม็ดมะปราง ใช้เป็นพื้นที่คลังสินค้าสำหรับการขนส่งในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4. ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม และที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม : สีผังเมืองของที่ดินประเภทนี้มี 2 แบบ คือ สีขาวและมีกรอบกับเส้นทแยงสีเขียว เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม มุ่งสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติของพื้นที่ชนบทและแหล่งเกษตรกรรม รหัสกำกับมีตั้งแต่ ก.1-ก.3 โดยพื้นที่ ก.1 มีข้อจำกัดด้านการระบายน้ำและมีความเสี่ยงในการเกิดอุทกภัย ส่วน ก.3 จะส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเค็มและน้ำกร่อยบริเวณชายฝั่งทะเลด้วย นอกจากนี้ยังมี สีเขียว เป็นที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม รหัส ก.4 และ ก.5 มุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจการเกษตร
5. ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์และศิลปวัฒนธรรมไทย : มักจะอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในกระจุกตัวอยู่ในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ แสดงด้วย "สีน้ำตาลอ่อน" รหัสกำกับคือ ศ.1 และ ศ.2 จุดประสงค์มุ่งอนุรักษ์และส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ รวมไปถึงกิจกรรมการพาณิชย์ การบริการ และการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว
6. ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ : แสดงเป็น สีน้ำเงิน รหัส ส. เป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งจะใช้เพื่อเป็นสถาบันราชการ หรือการดำเนินกิจการของรัฐที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ หรือเพื่อสาธารณะประโยชน์ ยกตัวอย่าง ที่ดินของสถาบันการศึกษา วัด ศาสนสถาน เป็นต้น
ที่ดินสีน้ำเงินจึงกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ โดยที่ดินบางแห่งซึ่งรัฐไม่ได้ใช้งาน ได้มีการนำมาสัมปทานให้เอกชนทำสัญญาเช่าเพื่อดำเนินกิจการต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม
ความลักลั่น-ช่องโหว่กฎหมาย ทำให้พื้นที่แต่ละสีไม่ตรงกัน คนไปสร้างบ้านในพื้นที่อุตสาหกรรมเพียบ
ประเด็นคือ ตอนนี้การใช้ที่ดินในการประกอบกิจกรรมต่างๆ มีความลักลั่นสูงมาก โดยเฉพาะในพื้นที่สีเขียวที่เป็นพื้นที่เกษตร พื้นที่สีแดงที่เป็นพิ้นที่พาณิชย์ และสีม่วงที่เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม แต่การมาของบ้านจัดสรรชานเมืองกลับสร้างโครงการบนที่ดินผิดประเภทเยอะมาก โดยอาศัยขนาดพื้นที่ใช้สอยต่อหลังไม่เกินกฎหมายกำหนด เพื่อเลี่ยงระเบียบผังเมือง
ปัญหาการใช้ผังเมืองผิดประเภทโดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย เกิดขึ้นเยอะมากในเขตจังหวัดปริมณฑล เนื่องจากต้องรองรับการเติบโตของเมืองที่ไม่สามารถสร้างบ้านในพื้นที่ใน กทม. ได้อีกต่อไป เพราะที่ดินแพงและไม่คุ้ม การถมที่ดินเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างบนพื้นที่รับน้ำและเกษตรกรรมจึงมีเพียบ ส่งผลให้เกิดการขวางทางน้ำ ทำน้ำท่วมบ่อยครั้ง
และเมื่อเขตชุมชนขยายเข้าใกล้แหล่งอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานสารเคมี และวัตถุมีพิษอันตราย ก็จะมีความเสี่ยงในพื้นที่ เพราะคนเลือกที่จะเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ โรงงานที่เดิมที่แต่ก่อนอยู่ไกล และต่อให้มีมาตรการคุมเข้มตรวจสอบดีขนาดไหน สักวันมันก็ต้องเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเมืองนอก
ดังนั้นเวลาจะซื้อบ้านในทำเลต่าง ๆ ต้องเช็กดี ๆ ด้วยว่ามันตั้งอยู่บนพื้นที่ผังเมืองถูกต้องไหม เป็นที่ดินจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยหรือเปล่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังแล้วมาโทษว่าใครมาอยู่ก่อนอยู่หลังนั่นเอง

ภาพจาก สำนักข่าว INN
iLaw ชี้ พ.ร.บ.โรงงาน โดนแก้ไข โรงงานตั้งได้ไม่ต้องแคร์ผังเมือง-ไม่ต้องต่อใบอนุญาตทุก 5 ปี
ขณะเดียวกันทาง เฟซบุ๊ก iLaw ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับใหม่ปี 2562 ที่ออกในสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับดังกล่าว มีการปรับเปลี่ยนและตัดบางมาตราของ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 (ฉบับเดิม) อย่างเช่น การปลดล็อกให้โรงงานที่ใช้เครื่องจักรขนาดต่ำกว่า 50 แรงม้าขึ้นไป หรือกิจการที่มีคนงานต่ำกว่า 50 คน ไม่ถูกจัดเป็นโรงงานภายใต้การกำกับดูแลกฎหมายโรงงาน แต่จะอยู่ภายใต้การดูแลของข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือ พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 แทน ซึ่งสามารถประกอบกิจการได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงผังเมืองหรือทำเลที่ตั้ง
โดยผลที่อาจจะตามมาของการแก้ไขดังกล่าว คือ การทำให้บางโรงงานที่ใช้เครื่องจักรขนาดเล็กและมีคนจำนวนไม่มาก แต่เป็นกิจการที่มีความเสี่ยงสูงและกระทบกับสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น กิจการคัดแยกของเสีย กิจการหล่อหลอม กิจการรีไซเคิลของเสีย การจัดเก็บสารเคมีอันตราย หลุดรอดจากการตรวจสอบ
รวมถึงยังอาจเป็นการเอื้อให้โรงงานขนาดใหญ่สามารถตั้งโรงงานได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ รวมถึงอาจทำให้เกิดการลัดขั้นตอนการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA/ EHIA) ซึ่งทำให้เกิดความหละหลวมในการตรวจสอบ และขาดการพิจารณาถึงความเหมาะสมของทำเลที่ตั้งโรงงาน และผลกระทบอื่น ๆ
อีกทั้งยังยกเลิกระบบการขอต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทุก 5 ปี ซึ่งอาจทำให้ไม่มีระบบการตรวจสอบสภาพโรงงาน เครื่องจักร รวมถึงความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่อยู่ใกล้ ว่ายังอยู่ในสภาพที่สามารถดำเนินการเปิดต่อไปได้หรือไม่










