รวบตัว หนุ่มไทยวัย 32 ปี ดาวเด่นคอลเซ็นเตอร์ ปลอมเป็น ผกก. เชียงราย ทำหน้าที่ปิดงานโกงเงิน เจ้าตัวสารภาพ รับเป็นตัวการหลอกหมอสูญเงิน 100 ล้าน ซ้ำมีเคสใหญ่ ๆ อีกเพียบ
อ่านข่าว ล่าตัว แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทร. ขู่หมอจนหวั่นถูกยึดทรัพย์ หลงเชื่อโอนเงินกว่า 100 ล้าน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 29 ตุลาคม 2565 ข่าวช่อง 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว นายชลวิชา หรือ เบียร์ อายุ 32 ปี มิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่เป็นพนักงานสาย 3 ซึ่งปลอมเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โดยตั้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, อั้งยี่ซ่องโจร, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และร่วมกันฟอกเงิน พร้อมยึดทรัพย์สินประกอบด้วย สมุดบัญชีธนาคาร 2 เล่ม, แหวน กำไล สร้อยทองคำ รวม 8 บาท 3 สลึง, นาฬิกาข้อมือ 2 เรือน เงินสดหลายสกุลเงิน โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง โดยจับกุมได้บริเวณลานจอดรถ ร้านเค้กแห่งหนึ่งใน ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 28 ตุลาคม ที่ผ่านมา
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 58 ราย หนึ่งในนั้นคือ นายชลวิชา ซึ่งมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า เป็นผู้ที่หลอกลวงให้โอนเงินในขั้นตอนสุดท้าย หรือเรียกว่าสาย 3 มีพฤติกรรมปลอมเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ผกก.สภ.เมืองเชียงราย จนหลอกเงินเหยื่อไปกว่า 150 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ได้ประสานทางกัมพูชาบุกทลายแก็งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา แต่พบว่าหัวหน้าชาวไต้หวันสร้างทางลับพาพนักงานคอลเซ็นเตอร์คนไทยหลบหนีออกไปได้ เจ้าหน้าที่จึงไล่ติดตามจนสืบทราบว่าบางส่วนเดินทางกลับไทย ก่อนจะติดตามจับกุมตัวในที่สุด
นายชลวิชา ให้การสารภาพ พร้อมเล่าว่าเริ่มไปทำงานที่กัมพูชาตั้งแต่ปี 2565 ตอนแรกเป็นแอดมินเว็บพนันที่เมืองปอยเปต จากนั้นช่วงกุมภาพันธ์ 2565 ถูกย้ายตึกทำงานและเปลี่ยนให้ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สาย 2 มีหน้าที่อ้างตัวเป็นตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย ยศร้อยตำรวจโท แต่เมื่อทำมาได้ระยะหนึ่ง หัวหน้าชาวไต้หวันเห็นถึงความสามารถในการหลอกลวง จึงเลื่อนขั้นให้เป็นเจ้าหน้าที่สาย 3 ทำหน้าที่อ้างตัวเป็นตำรวจระดับสูง ยศพันตำรวจเอก หลอกผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุมคดีของผู้ต้องหารายอื่น ให้เหยื่อหลงเชื่อและแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการโอนเงินเข้ามาเพื่อให้ตรวจสอบซึ่งคือการหลอกลวง
นายชลวิชา กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถหลอกลวงผู้เสียหายได้ประมาณ 7-8 ล้านบาทต่อเดือน เคสใหญ่ ๆ ที่หลอกได้มี 3 ครั้ง ประกอบด้วย
1. ช่วงประมาณ เดือนเมษายน 2565 หลอกลวง นางอำภา ข้าราชการครูเกษียณ ได้ประมาณ 11 ล้านบาท
2. ช่วงประมาณ เดือน กรกฎาคม 2565 หลอกลวง นายชาญชัย นักลงทุนหุ้น ได้ประมาณ 41 ล้านบาท
3. ช่วงประมาณ ต้นเดือน ตุลาคม 2565 หลอกลวง นางรัชนี เป็นหมอ อยู่เมืองชุมพร ซึ่งเป็นเคสล่าสุด ตนทำหน้าที่เป็นผู้หลอกลวงหลัก ร่วมกับคนชื่อเต๋า ช่วยพูดคุยจนเหยื่อหลงเชื่อ ได้เงินมาประมาณ 101 ล้านบาท
ภาพจาก ข่าวช่องวัน
ต่อมา หลังจากกลับมาไทย นำเงินไปสร้างบ้านราว 1 ล้านบาท แบ่งให้ญาติใช้จ่าย รวม 1 ล้านบาท นำไปซื้อทองเก็บราว 5 แสนบาท ที่เหลือได้นำมาใช้จ่ายส่วนตัว และเงินส่วนหนึ่งนำไปเล่นพนันออนไลน์เพื่อความสุขส่วนตัว สุดท้ายนี้อยากฝากเตือนประชาชนหากมีสายแปลกก็ควรจะตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์จากอินเทอร์เน็ตก่อน หรือตัดสายทิ้งและบล็อกเบอร์ไปเลย ส่วนคนที่อยากจะทำงานแบบนี้ ขอเตือนว่าแม้ได้เงินเยอะแต่ไม่ได้ใช้ และถูกจับกุมด้วย
หลังจากการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหารายนี้ไปขยายผล ตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพื่ออายัดเงินได้จากการหลอกลวงมาทั้งหมด และได้มีการติดตามให้ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงเงินจำนวน 41 ล้านบาท และผู้เสียหาย (แพทย์) ที่ถูกหลอกลวงกว่า 100 ล้านบาท มาเข้ายืนยันเสียง ซึ่งทั้งสองได้ยืนยันว่าเสียงของนายชลวิชา เป็นเสียงที่ทั้งสองถูกหลอกลวงจริง โดยผู้เสียหายได้ขอบคุณตำรวจที่สืบหาจนจับกุมคนร้ายได้ คิดว่าจะไม่เจอตัวแล้ว เพราะทราบว่าอยู่ที่กัมพูชา
ทั้งนี้ ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมติดตามยึดทรัพย์สินและติดตามเงินคืนผู้เสียหายต่อไป ส่วนญาติผู้ต้องหาอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเข้าข่ายมีความความผิดด้วยหรือไม่ ยืนยันว่าจากนี้ยังคงตามจับกุมผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โดนหมายจับอีกทั้ง 57 คน ต่อไป พร้อมขอเตือนคนที่คิดจะไปทำงานแบบนี้ว่าสักวันจะต้องถูกจับ และต้องกลับไทยมาในฐานะอาชญากรมิใช่เหยื่อ รวมทั้งจะถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด
สุดท้ายนี้หากผู้ใดมีเบาะแสสามารถติดต่อไปยัง สายด่วน 1441 ตำรวจไซเบอร์ หรือ ศูนย์ ศปอส.ตร. 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.com นอกจากนี้ยังได้จัดทำรูปแบบแผนประทุษกรรมของคนร้าย เพื่อให้ประชาชนรับรู้ โดยสามารถเข้าไปติดตามได้ที่ www.pctpr.police.go.th
ขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวช่อง 3