วิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกล ลั่น ก้าวไกล ไม่ถอยเป็นฝ่ายค้าน ประกาศฮาวทูสู้คนหน้าด้าน เราต้องหน้าด้านกว่า ชี้ ภารกิจหลักคือ ปิดสวิตช์ 3 ป. ให้ได้ และประคอง 8 พรรคร่วมถึงเส้นชัย
จากกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ไม่สามารถเสนอชื่อโหวตซ้ำได้ในรอบที่ 2 เนื่องจากที่ประชุมสภาไม่เห็นชอบ ทำให้สถานการณ์การเมืองตอนนี้เข้าสู่ความพลิกผัน และจะมีการส่งไม้ต่อไปยังพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่ค่อนข้างหลากหลายว่า จะมีการดึงพรรคอื่นมาร่วมรัฐบาลเพิ่มหรือไม่ หรือพรรคก้าวไกล จะยังคงเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่หรือเปล่า หรือจะถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้าน
วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคก้าวไกล กล่าวในรายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอ ตอนหนึ่งถึงกระแสข่าวที่ พรรคก้าวไกลกำลังจะถูกผลักเป็นพรรคฝ่ายค้านว่า เราขอยืนยัน เราจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อจะเป็นรัฐบาลเอาความฝันประชาชนกลับมาให้ได้ ผมไม่เคยมีภาพของการแถลงที่บอกว่า เราจะเป็นฝ่ายค้าน เราจะสู้สุดทางแน่นอน การสู้สุดทางในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หมายถึงการประคอง 8 พรรคร่วมรัฐบาลให้อยู่ให้ได้
"จุดยืนเราก็ต้องมี ภายใต้สถานการณ์ยืดหยุ่นที่สามารถอธิบายกับประชาชนได้ เพื่อแก้ปัญหาประชาชนได้ ถ้ามีทางเลือกอื่น เราพร้อมจะยืดหยุ่น แต่จะให้ทิ้งจุดยืน มันก็ไม่ได้เหมือนกัน" วิโรจน์ ลักขณาอดิศร กล่าวและยอมรับว่ายาก
ตั้งเป้าปิดสวิตช์ 3 ป. ประคอง 8 พรรคร่วมให้ได้
โดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เผยสิ่งแรกที่จะทำคือ การปิดสวิตช์ 3 ป. เปิดความหวังให้กับประชาชน, สอง ภาคี 8 พรรคร่วมต้องไปด้วยกันให้ได้, สาม เคารพให้เกียรติแกนนำ ถ้าผ่านตรง 3 ข้อนี้ ผมว่ารัฐบาลไปต่อได้
มันก็น้อยครั้งที่พรรคอันดับ 1 กลับยอมถอยเรื่องประธานรัฐสภา เรื่องนี้มองย้อนกลับไปข้อ 1 คือ ภารกิจสำคัญคือ การปิดสวิตช์ 3 ป. ให้ได้ และต้องประคองภาคี 8 พรรคร่วมให้ได้
ส่วนเหตุผลที่ว่า การปิดสวิตช์ 3 ป. สำคัญมาก ให้ลองนึกภาพก้าวไกลประกาศเป็นฝ่ายค้าน ฝั่ง 3 ป. ยิ้มเลย เรื่องนี้เราต้องหน้าด้าน ถ้าเราเจอคนหน้าด้าน เราต้องหน้าด้านกว่าเพื่อประชาชน ไม่ได้หมายความว่า ผมทิ้งจุดยืน ความยืดหยุ่นในสถานการณ์มันต้องมี เพราะบางครั้งเราทำ ก. ไม่ได้ แต่ทำ ข. ได้ แล้วมันตอบโจทย์เหมือน ก. เราก็ต้องพิจารณา
สู้กับคนหน้าด้าน ต้องหน้าด้านกว่า
นอกจากนี้ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ยังเล่าย้อนเรื่องคำสอนของพ่อที่ถามว่า สู้กับอะไรน่ากลัวที่สุด ผมตอบพ่อไปว่า สู้กับคนเก่ง พ่อบอกว่า สู้คนเก่งง่ายมาก เรียนรู้จากเขา เราก็จะเก่งขึ้น จากนั้นผมก็ตอบ สู้กับคนไม่เก่ง พ่อก็บอกว่า คนไม่เก่งไม่เป็นไร ถ้าเขามีความตั้งใจ พาเขามาเป็นพวก เขาก็ได้เรียนรู้กับเราและเราจะยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน
สุดท้าย พ่อสรุปว่า การสู้กับคนหน้าด้าน น่ากลัวที่สุด เพราะแพ้มันก็จะโกง ต่อให้มันสู้แพ้เรามันก็จะโกง ล้มกระดาน สร้างกติกาใหม่ ให้เราเสียเปรียบ ตอนนั้นผมยังไม่อยู่ในวงการการเมืองเลยนะ ผมเลยถามพ่อว่า แล้วถ้าเจอคนแบบนี้ต้องทำยังไง พ่อบอกว่า เจอคนหน้าด้าน ให้หน้าด้านกว่าเท่านั้น
ส่วนเรื่องวันที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เดินออกจากรัฐสภา วันนั้น วิโรจน์ ลักขณาอดิศร บอกว่าไม่ได้ปลอบใจเขา เพราะรู้ว่า นายพิธาต้องการเห็นหน้าเพื่อนร่วมทีมที่เข้มแข็งมากกว่า ไม่ต้องการเห็นเพื่อนร้องไห้ ถ้าดูหน้าผมตอนนั้น ผมคิดว่า เดี๋ยวกูเอาคืนให้ ใครทำเพื่อนผม เดี๋ยวผมเอาคืนให้ ถ้าผมร้องไห้ เพื่อนผมได้กลับมาไหม ไม่มีประโยชน์ ผมแค่จำภาพพิธาตอนออก สักวันหนึ่งจะคืนความเป็นธรรมให้กับเพื่อน ด้วยทฤษฎีหน้าด้านของผม
พรรคก้าวไกล ยันไม่มีถอย
ประเด็นที่มีหลายคนบอกว่า ก้าวไกลต้องถอย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก็อยากพูดว่า "ออกแล้วประชาชนจะเอาอะไรแดก กูไม่ออก กูจะอยู่กับมึงนี่แหละ แต่เราจะอยู่แบบสุดปลายมือจริง ๆ สู้กับคนหน้าด้าน เราหน้าบางไม่ได้ คือ คนหน้าด้าน คนถ่อยเนี่ย เขาจะรู้สึกว่าวิญญูชนจะหน้าบาง แสดงสปิริตสิ ผมก็บอกว่า ไม่ ๆๆๆ กูไม่ออก ต่อให้ยีหัวเรา กูก็จะกอดมึงเอาไว้ ออกแล้วประชาชนจะเอาอะไรแดก"
วิโรจน์ ชี้ สว. กลัวอ่านคำว่า ไม่เห็นชอบ จึงไม่ให้พิธาโหวตรอบ 2
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องการห้ามโหวตนายกฯ รัฐมนตรีซ้ำว่า ความจริงการโหวตนายพิธา รอบ 2 กับการเสนอญัตติห้ามโหวตซ้ำ ถึงแม้ผลเหมือนกันคือ นายพิธาแพ้โหวต แต่ความต่างอยู่ตรงที่ ถ้าเลือกให้โหวตซ้ำ สว. จะต้องออกมาพูดคำว่า "ไม่เห็นชอบ" ออกสื่อ ซึ่งคนพวกนี้ก็กลัว เพราะมันเป็นดิจิทัล ฟุตปริ๊นต์ได้ จึงเลือกใช้อีกวิธีแทน
ส่วนกรณีนายวันมูฮะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ตัดจบการประชุม สิ่งที่ตนอยากถามก็คือ ท่านสรุปไม่ครบในมติห้ามโหวตนายกรัฐมนตรีซ้ำ ท่านไม่ได้พูดว่า แล้วแต่ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เพียงเท่านั้น
เกาะติดข่าวการเมือง ประเด็นอื่น ๆ
