นิติเวช ยันโครงกระดูก 3 โครง ไม่ใช่ของสองผัวเมีย


ข่าวหมอสุพัฒน์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ drsuphat สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม, news.springnewstv.tv


            นิติเวช ยันโครงกระดูก 3 โครง ไม่ใช่ของสองผัวเมีย แต่มี 1 โครงกระดูก ที่ระบุได้ว่าเป็นของแรงงานชาวพม่า ส่วนอีก 2 โครงกระดูกเป็นเพศชาย โครงหนึ่งมีรอยกระสุนเข้าสองรู อีกโครงฟันมีคราบสีน้ำตาล คล้ายคนกินหมาก

             เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา (10 ตุลาคม) ที่ตึกนิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์อุดมศักดิ์ หุ่นวิจิตร หัวหน้าหน่วยนิติพันธุศาสตร์และหน่วยวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ ได้แถลงผลการตรวจพิสูจน์โครงกระดูกจำนวน 3 โครง ที่ขุดพบในไร่ของหมอสุพัฒน์

            โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์อุดมศักดิ์ ระบุว่า ผลการตรวจโครงกระดูกทั้งสามโครงนั้น เป็นเพศชายทั้งหมด และเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ ที่ทางสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้เคยทำการตรวจพิสูจน์หาสารพันธุกรรมไปแล้ว พบว่า ผลสอดคล้องกัน เนื่องจากสารพันธุกรรมไม่ตรงกับสองสามีภรรยาที่หายตัวไป โดยเปรียบเทียบสารพันธุกรรมจาก นางเล็ก เฮงสุวรรณ (มารดาของนายสามารถ) และนางเอื้อ เกิดทรัพย์ (มารดาของนางสาวอรสา) ไม่พบว่า โครงกระดูกใดมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับบุคคลดังกล่าว นอกจากนี้ นายเอกพล จันทร์ลาด ขอตรวจพิสูจน์ด้วย เนื่องจากบิดา คือ นายธนยศ จันทร์ลาดเป็นคนในพื้นที่นั้น และมีอายุใกล้เคียงกับโครงกระดูกดังกล่าว แต่ผลการตรวจพบว่าไม่ตรงกับโครงกระดูกใดเลย
 
            อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนแจ้งว่า อาจจะเป็นศพของนายต้าชาวพม่า จึงได้ส่งเนื้อเยื่อและเส้นผมของ นายปิเอ และเด็กชายโซโหร่ยโหร่ย บุตรชาย มาตรวจพิสูจน์ และยืนยันได้ว่า โครงกระดูกที่ 1 เป็นของนายต้าจริง จากนั้นทางแพทย์ได้มาเก็บตัวอย่างเลือดจาก นางเวียงเหนี่ยงภรรยาของนายต้ามาตรวจยืนยันความสัมพันธ์อีกครั้งก็พบว่าตรงกัน

            ส่วนโครงกระดูกที่สองเป็นเพศชาย อายุ 18-21 ปี ส่วนสูงประมาณ 158-168 เซนติเมตร ระบุได้ว่าเป็นชาวเอเชีย  ลักษณะกะโหลกมีรอยกระสุนเข้าสองรู ทางแพทย์เก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมไว้หมดแล้ว ส่วนการจะระบุได้ว่าเป็นใครต้องรอการเปรียบเทียบกับญาติที่มีการสงสัย สำหรับโครงกระดูกที่ 3 เป็นเพศชาย อายุ 18-24 ปี ส่วนสูงประมาณ 163-172 เซนติเมตร ระบุได้ว่าเป็นชาวเอเชีย ลักษณะฟันมีคราบสีน้ำตาล สันนิษฐานได้ว่า เป็นคนกินหมาก ซึ่งทางแพทย์เก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมไว้เช่นกัน



ลูกชาย โชว์คลิปหมอสุพัฒน์ เยี่ยมแม่ - ตร.ได้ตัวพยานคนงานเพิ่ม


คลิป หมอสุพัฒน์ เยี่ยมแม่

            ลูกชาย หมอสุพัฒน์ โชว์คลิปหมอเยี่ยมมารดา ด้านตำรวจได้ตัว นายโย่ง อดีตคนงาน หมอสุพัฒน์ เผยเคยถูกหมอสั่งให้เพื่อนคนงานซ้อมจนสลบ ขณะที่ ผล DNA ชี้ชัด ศพที่ 2 เป็นศพ นายตั้น คนงานพม่าที่ถูกฆ่า

            สืบเนื่องจากกรณีที่ นายเอก เลาหะวัฒนะ บุตรชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ผู้ต้องหาในคดีการหายตัวไปของ 2 สามีภรรยา จ.เพชรบุรี ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังในเรือนจำกลาง จ.เพชรบุรี ได้นำจดหมายลายมือ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ออกมาเปิดเผย ซึ่งมีข้อความระบุว่า จริง ๆ แล้ว นายสุเทพ จัดฉากคิดฆ่าแม่ เพื่อหวังทรัพย์สมบัติที่ดิน เนื่องจากมีปัญหาทางการเงิน จนทำให้นายสุเทพต้องออกมาโต้กลับว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดนั้น

            ความคืบหน้าล่าสุด วานนี้ (9 ตุลาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเอก เลาหะวัฒนะ บุตรชาย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ได้นำคลิปวิดีโอที่บันทึกด้วยโทรศัพท์เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูบ ซึ่งระบุว่าเป็นคลิปที่ถ่ายเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยเป็นเหตุการณ์ที่ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ พาครอบครัวไปเยี่ยมมารดา ภายในบ้านพักที่ซอยเย็นอากาศ กรุงเทพฯ มีการพูดคุย ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบซึ่งกันและกัน โดยหมอสุพัฒน์ได้นั่งอยู่ข้าง ๆ มารดาบนเตียงนอนและจับมือกันตลอดเวลา เพื่อเป็นการยืนยันว่า บิดาเคยพาครอบครัวไปเยี่ยมย่าและพูดคุยกันตามประสาแม่ลูก ไม่ได้เป็นตามที่นายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ออกมาให้สัมภาษณ์

            นอกจากนี้ เมื่อเวลา 16.35 น. ของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปรับตัว นายโย่ง อายุ 24 ปี อดีตคนงานชาวกะเหรี่ยง ที่เคยทำงานอยู่กับ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ที่ไร่ท่าไม้รวก ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญคนหนึ่งที่หลบไปทำงานอยู่โรงงานแห่งหนึ่งย่าน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ มาที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 พร้อมจัดหาสถานที่ให้นายโย่งอยู่อย่างปลอดภัยในฐานะพยานสำคัญ

            พ.ต.อ.กฤษณะ ทรัพย์เดช รอง ผบก.สส.ภ.7 กล่าวว่า การพบตัวนายโย่งครั้งนี้หลังทราบว่านายโย่งเคยเป็นคนงานทำงานอยู่ในไร่ของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เมื่อประมาณหลายปีก่อน หลังพบตัวและได้พูดคุยกันซึ่งนายโย่งที่ฟังและพูดภาษาไทย ให้การว่า เป็นคนงานของหมอ โดยหมอไปรับที่พม่ามาเป็นคนงานแต่ไม่เคยได้รับเงินเดือน แต่ให้เงินใช้ครั้งละร้อยสองร้อยบาทเท่านั้น ขณะทำงานอยู่กับหมอที่ไร่ยังมีคนงานชาวพม่า-ชาวกะเหรี่ยงอยู่ด้วยอีก 2-3 คน

            นอกจากนี้ ยังมี น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ซึ่งเป็นภรรยาของหมอจะเป็นผู้ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ ซื้อหาเสื้อผ้าให้คนงานทุกคนสวมใส่ และคนงานทุกคนก็มักจะเข้าไปดูทีวีในห้องของ น.ส.วิลสา เป็นประจำ ต่อมาวันหนึ่ง หมอมาพบคนงาน คือนายตั้น หรือต้น หรืออีต้า เพื่อนคนงานชาวกะเหรี่ยง ซึ่งหน้าตาดีนอนดูทีวีอยู่ในห้องของ น.ส.วิลสา ทำให้หมอไม่พอใจต่อว่า น.ส.วิลสา จนหนีหายไปหลายวัน ยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นให้ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ คิดว่า เมียแอบมีอะไรกับคนงาน

            จากนั้นหมอกับนายกะลาได้ไปเรียกเพื่อนคนงานคนดังกล่าว คือนายตั้น ที่นอนอยู่กับนายโย่งในห้อง พาตัวออกมาซ้อมและทรมานรัดคอด้วยเชือก โดยหมอถือปืนยาวคอยขู่และมีนายกะลาช่วยจับอยู่ ซึ่งนายโย่งบอกว่า วันนั้นทั้งเขาและนายตั้น เพื่อนคนงาน ถูกซ้อมจนสลบคากองข้าวโพด เมื่อฟื้นจากสลบเห็นเพื่อนคนงานคือนายตั้นยังสลบอยู่ ตัวนายโย่งจึงหนีไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนงานที่อยู่กับนายจ้างอีกไร่หนึ่งที่อยู่ติดกันกับไร่หมอ จากนั้นก็หนีกลับบ้านที่พม่าไม่กล้ากลับมาอีกเพราะกลัวถูกฆ่า แล้วก็ไม่รู้ชะตากรรมของนายตั้นอีกเลย

            พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวต่อไปว่า จากที่ได้พูดคุยสอบถามนายโย่งอดีตคนงานของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้เล่าว่า หลังจากหนีตายไปจากหมอ ก็ได้กลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา โดยทำพาสปอร์ตเข้ามาและไปทำงานอยู่ที่ พระสมุทรเจดีย์ สมุทรปราการ จนเจ้าหน้าที่สืบทราบ จึงเชิญตัวมาเป็นพยาน ซึ่งจากการให้ข้อมูลของนายโย่ง ถือว่านายโย่งเป็นผู้เสียหายกรณีถูกหมอทำร้ายร่างกายและคดีก็ยังไม่หมดอายุความ คดีนี้น่าจะเป็นหนังเรื่องยาว และพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกับหมอเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งขณะนี้พยานสำคัญ ๆ ทั้งนายกะลา เมียนายกะลา พร้อมลูก ๆ ของนายกะลาอยู่ในความคุ้มครองดูแลของตำรวจหมดแล้ว ส่วนโครงกระดูกที่ขุดพบในไร่ของหมอยังไม่ทราบว่า เป็นกระดูกของคนงานชาวกะเหรี่ยง หรือกระดูกของนายตั้น เพื่อนคนงานที่ถูกหมอจับมาซ้อมพร้อมนายโย่งหรือไม่

            ขณะที่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปยังภรรยาของ นายตั้น ซึ่งหลบหนีไปอยู่ที่พม่า เพื่อขอดีเอ็นเอของญาติมาตรวจสอบกับโครงกระดูกที่ขุดพบ และจากการตรวจสอบพบว่า ดีเอ็นเอตรงกับศพที่ 2 ที่ใส่เสื้อหมายเลข 20 ส่วนศพอื่น ๆ ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร ส่วนศพที่มีรอยกระสุนที่ศีรษะนั้น นายกะลาไม่ทราบ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เป็นการฆาตกรรมแน่นอน จึงต้องสืบต่อไปว่าเป็นศพใคร ส่วนจะขุดค้นศพในไร่เพิ่มหรือไม่ คงต้องหาข่าวเพิ่มเติมก่อน

            นอกจากนี้ พล.ต.ท.หาญพล ระบุด้วยว่า ยังมีคนงานพม่าอีกรายที่อยู่ในเหตุการณ์อุ้มสองสามีภรรยา เพียงแต่ไม่เห็นตอนฝัง แต่ขณะนี้คนงานพม่าได้หลบหนีไปอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการแล้ว เพราะกลัว ซึ่งเจ้าหน้าที่จะนำตัวมาสอบปากคำต่อไป









อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
นิติเวช ยันโครงกระดูก 3 โครง ไม่ใช่ของสองผัวเมีย โพสต์เมื่อ 10 ตุลาคม 2555 เวลา 08:46:39 2,624 อ่าน
TOP
x close