อภิญญา ภาคสุโพธิ์ ร่อนจดหมายโต้ข่าวทิ้งพ่อ ยันดูแลมาตลอด







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          เอ อภิญญา ร่อนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรมหลังถูกสังคมประณามไม่เหลียวแลพ่อป่วยความจำเสื่อม เผยแบ่งหน้าที่กับน้องชายดูแลพ่อ-แวะมาเยี่ยมตลอด

          สืบเนื่องจากกรณีที่ นายอำพล ภาคสุโพธิ์ ชายลำปางวัย 63 ปี เป็นอดีตข้าราชการบำนาญของหน่วยงานแห่งหนึ่งและเป็นพ่อของ เอ อภิญญา ภาคสุโพธิ์ อดีตนักยกน้ำหนักหญิง ป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม โดยมีนายศักดา หรือโอ๋ เป็นผู้รับผิดชอบดูแล ซึ่งนายศักดาได้ขัง นายอำพล ผู้เป็นพ่อให้อยู่ในบ้านเพียงลำพังนานกว่า 7 ปี  โดยเจาะช่องไว้สำหรับโผล่ศีรษะออกมาดูคนภายนอกได้เท่านั้น โดยจะนำข้าวน้ำมาให้ในช่วงเย็น จนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และประณามจากสังคมถึงการไร้ซึ่งความกตัญญูของ นายศักดา และ เอ อภิญญา ตามที่ได้รายงานข่าวไปนั้น

          ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม เอ อภิญญา ภาคสุโพธิ์ อดีตนักยกน้ำหนักหญิง ได้เขียนจดหมายชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม เนื่องจากข่าวที่นำเสนอออกไปเพียงด้านเดียวทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง โดยมีข้อความดังนี้



17 ตุลาคม 2555

เรื่อง ขอชี้แจงข้อเท็จจริง

เรียน ท่านผู้เกี่ยวข้อง

          ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวจากสำนักข่าวของท่านในเรื่องของนายอำพล ภาคสุโพธิ์ ว่าถูกขังและมีความเป็นอยู่อย่างลำบากโดยไม่ได้มีผู้ดูแลโดยได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวเพียงด้านเดียวนั้น ดิฉัน อภิญญา ภาคสุโพธิ์ ซึ่งเป็นบุตรสาวที่ถูกพาดพิงในข่าวขอชี้แจงข้อมูลความเป็นจริงดังนี้

          1. ข้อมูลว่าถูกขังถึงเจ็ดปีนั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากนายอำพล ภาคสุโพธิ์ พ่อดิฉันเพิ่งจะเกษียณอายุราชการเมื่อปี 52 และมาอยู่กับน้องชายดิฉันที่จังหวัดลำปางเมื่อปี 2552 ซึ่งตรวจสอบได้จากกรมทรัพยากรธรณีซึ่งพ่อทำงานอยู่โดย น้องเสียสละรับผิดชอบดูแลพ่อและจัดการค่าใช้จ่ายบำนาญและทุกอย่างของพ่อซึ่งดิฉันไม่เคยไปเกี่ยวข้อง โดยดิฉันรับผิดชอบดูแลแม่และหลานซึ่งเป็นลูกของน้องชายคือ นายศักดา ภาคสุโพธิ์ ให้มาอยู่กับดิฉันร่วมกันกับลูกชายดิฉันอีก 2 คนเพื่อให้น้องชายได้ดูแลพ่ออย่างสะดวก แต่ระยะหลังพ่อเริ่มป่วยมากขึ้นและหลงลืมบางครั้งมีการแสดงอาการก้าวร้าว เมื่อปลายปี 2553 น้องสะใภ้ซึ่งในช่วงนั้นเพิ่งคลอดบุตรไม่สะดวกจะอยู่ร่วมกัน จึงแยกออกไปอยู่อีกที่หนึ่งและน้องได้นำพ่อไปอยู่ที่บ้านประมาณปีเศษเท่านั้น

          2. ข้อมูลที่ว่าดิฉันไม่เคยดูแลใส่ใจผู้ให้กำเนิด ซึ่งความจริงแล้วดิฉันและน้องชายอยู่กับแม่มาโดยตลอดตั้งแต่เกิด พ่อจะกลับบ้านปีละประมาณสองถึงสามครั้งด้วยงานของพ่อ และปัญหาระหว่างพ่อกับแม่นั้น ตัวดิฉันซึ่งเป็นลูกก็ไม่อาจสามารถอธิบายได้ ทราบเพียงว่าพ่อส่งเงินให้แม่เพื่อใช้จ่ายเดือนละพันกว่าบาท แม่ต้องเก็บผักขายบ้างและทำขนมขายบ้าง จนดิฉันอายุ15 ปีพ่อก็ได้ไม่ส่งเงินให้แม่อีกเลยและก็ไม่กลับมาบ้าน แม่ดิฉันจึงยื่นคำร้องต่อศาลให้ศาลสั่งให้หย่าขาดกันโดยแม่บอกว่าหย่าเพราะไม่อยากรับผิดชอบหนี้สินที่พ่อไปสร้างไว้โดยที่แม่ไม่รับรู้และแม่ไม่สามารถรับผิดชอบได้ไหว

          ส่วนดิฉันเริ่มเล่นกีฬาตอนอายุ 15 ปีโดยแม่เป็นผู้สนับสนุนและแม่ทำงานเลี้ยงดูดิฉันและน้องหาเงินส่งเสียให้เรียนจนดิฉันเรียนปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 จึงติดทีมชาติแบ่งเบาภาระจากแม่ลง พอน้องชายเรียนจบม.6 แม่จึงส่งให้ไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพหวังให้พ่อดูแลส่งเสีย แต่น้องก็เรียนไม่จบกลับมาบ้านที่ลำปางพร้อมเมียและลูกชาย 1 คน มาทำงานที่จังหวัดลำปาง ภายหลังแยกทางกับภรรยา แม่ดิฉันจึงนำหลานชายมาอยู่ด้วย หลังจากที่น้องชายดิฉันมีภรรยาใหม่ จนพ่อเกษียณ น้องไปรับพ่อมาจากกรุงเทพมาอยู่ด้วยกันกับน้องชายและตัวดิฉันเองไม่ค่อยสนิทกับพ่อเท่ากับน้องชาย แต่ในฐานะของลูกเมื่อมีเวลาดิฉันไปเยี่ยมพ่อเป็นระยะ ๆ และพาไปทานอาหารข้างนอก พาไปตัดผมและไปเที่ยว แต่ขณะที่ดิฉันไปเยี่ยมเป็นเวลาช่วงกลางวันชาวบ้านก็ออกไปทำงานไม่ได้รับทราบใด ๆ (ดังรายละเอียดตามเอกสารแนบ)

          เมื่อน้องแจ้งว่าพ่อมีอาการมากขึ้นเมื่อปี 2554 ดิฉันไปรับน้องและพาพ่อไปพบแพทย์เพื่อขอรับการรักษาจากโรงพยาบาลสวนปรุงจังหวัดเชียงใหม่ โดยนายแพทย์เจ้าของไข้ได้วินิจฉัยว่าเป็นอัลไซเมอร์แต่ไม่อนุญาตให้เข้ารักษาตัวที่ในโรงพยาบาลเพียงวินิจฉัยอาการและให้ยามาทานที่บ้าน สามารถตรวจสอบประวัติการรักษาได้ที่โรงพยาบาลสวนปรุงจังหวัดเชียงใหม่โดยที่ดิฉันได้ทำบัตรเบิกจ่ายตรงให้แก่พ่อเพื่อให้น้องชายจะได้ไม่เป็นภาระในเรื่องค่ายาและค่ารักษาพยาบาลของพ่อ







          3. การดูแลพ่อนั้นดิฉันและน้องชายได้ตกลงกันโดยแบ่งกันดูแลซึ่งดิฉันรับผิดชอบหลานและแม่ ส่วนน้องชายดูแลพ่อซึ่งข้อมูลที่หัวหน้าอาสาหมู่บ้าน คือ นางนงเยาว์ ไชยกุล แจ้งว่ามาตรวจสอบหาพ่อ 7 ปีแล้วนั้น เนื่องจากพ่อได้ย้ายชื่อมาเข้าในบ้านที่ลำปางนานมาแล้วแต่ตัวพ่ออยู่ที่กรุงเทพทำงานอยู่ และบ้านหลังนั้นเป็นที่ดินของแม่โดยพ่อสร้างบ้านไว้ เมื่อแยกทางกันแม่จึงโอนบ้านให้น้องชายไว้เพื่อให้อยู่กับพ่อหลังเกษียณ

          เดิมน้องชายนั้นเช่าบ้านในเมืองเพื่อสะดวกในการทำงาน บ้านหลังนั้นแม่ให้คนที่ทำงานรับจ้างรายวันชื่อบังรอนดูแลบ้านให้และอาศัยอยู่เพื่อดูแลบ้านเนื่องจากมีขโมยมาถอดกระเบื้องและฝ้าเพดานบ้านไปตลอด ไม่ใช่บ้านร้างอย่างที่เป็นข่าว รวมถึงกระจกที่แตกนั้นเกิดจากบังรอนทำแตกไว้ไม่ได้ทำไว้เป็นช่องให้พ่อโผล่หัวแต่อย่างใด

          แต่เมื่อน้องสะใภ้คลอดลูกและต้องดูแลลูกน้องชายจึงให้คนที่ดูแลบ้านออกไปและให้พ่อมาอยู่ในบ้าน โดยที่น้องมาส่งข้าวให้พ่อทุกวันก่อนออกไปทำงานสามารถสอบถามร้านข้าวที่น้องไปซื้อทุกวันได้และมาทำความสะอาดบ้านอาทิตย์ละครั้ง น้องบอกว่าพ่อไม่ยอมอาบน้ำไม่ยอมตัดผมตัดเล็บที่เป็นข่าวเพียงปีกว่า

          โดยเหตุที่น้องต้องล็อคกุญแจเพราะเดิมเคยไม่ล็อคและพ่อหายไปจากบ้าน 2 ครั้งน้องชายออกตามหาและเคยไปแจ้งความไว้ที่โรงพักด้วย กลัวจะตกน้ำหรือประสบอุบัติเหตุและไม่ทราบจะไปตามหาได้ที่ใด คนรู้จักไปพบข้างถนน ซึ่งเป็นอย่างนี้หลายครั้งจนน้องดิฉันซึ่งต้องทำงานจำเป็นต้องล็อคบ้านและไปส่งข้าวทุก ๆ วัน และที่นอนของพ่อน้องซื้อให้ตลอดจนระยะหลังน้องก็บอกว่าไม่มีเงินซื้อที่นอนให้พ่อทุกวันพ่อถ่ายใส่ทุกวัน น้องขนไปทิ้งไว้หลังบ้านหมด รวมถึงเสื้อผ้าด้วย และพ่อเพิ่งไปอยู่ที่นั่นได้ประมาณปีกว่า ๆ ตลอดเวลาดิฉันมีเวลาว่างในวัดหยุดดิฉันก็ไปเยี่ยมพอตลอดซึ่งแรก ๆ ก็มีที่นอนหมอนมุ้งอยู่ แต่ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาดิฉันไม่ได้ไปเยี่ยมพ่อจริงเพราะดิฉันมีภารกิจที่สำคัญทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงานแต่ดิฉันได้สอบถามข่าวพ่อทางโทรศัพท์ตลอด ไม่ได้ทอดทิ้งหรือไม่สนใจได้ย้ำให้น้องพาพอมารับยาที่เชียงใหม่เสมอ

          จนประมาณ 3 เดือนก่อนทาง อสม. ไปพบพ่อในขณะที่น้องชายไปทำงาน ซึ่งน้องชายได้เข้าพบปลัด พรนิมิตร สายเทพแล้วแต่แจ้งไปแล้วว่าทางโรงพยาบาลสวนปรุงไม่รับ ทางปลัดได้แจ้งแก่น้องชายว่าจะดำเนินการให้ โดยทางปลัดนั้นแจ้งว่าติดต่อน้องชายไม่ได้ส่วนน้องชายก็บอกดิฉันว่าไม่ได้รับการติดต่อจากทางปลัดเลยซึ่งทางดิฉันจึงไม่แน่ใจว่าข้อมูลเท็จจริงประการใด

          4. โดยความคืบหน้าเรื่องการดูแลพ่อ ณ ตอนนี้นั้น ได้นำพ่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลลำปาง เข้าตรวจร่างกายและรอตรวจรักษาเพื่อให้ยาต่อไปและหลังจากนี้ทางจังหวัดประสานบ้านพักที่มีผู้ดูแล 24 ชั่วโมงและมีคนให้ยาตามเวลาโดยไม่อนุญาตให้น้องชายดิฉันดูแลต่อ ซึ่งบ้านพักนี้ดิฉันเคยประสานให้พ่อก่อนที่พ่อจะเกษียนแล้วแต่เขาปฏิเสธเนื่องจากพ่อไม่ช่วยเหลือตนเองทานอาหารได้อย่างเดียวเป็นภาระแก่บ้านพัก แต่ขณะนี้ทางจังหวัดได้ช่วยประสานงานให้แล้วและยอมรับพ่อเข้าดูแล ต่อไป

          จึงเรียนมาเพื่อชี้แจงข้อมูลตามความจริงเพื่อให้การนำเสนอข่าวเป็นไปตามความจริงและผู้รับข้อมูลได้รับข้อมูลที่ถูกต้องซึ่งเป็นธรรมแก่ดิฉัน น้องชาย และแม่ ซึ่งถูกประณามโดยสังคมให้เสื่อมเสียชื่อเสียงซึ่งไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้


ขอแสดงความนับถือ

อภิญญา ภาคสุโพธิ์ (ดัชถุยาวัตร)





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อภิญญา ภาคสุโพธิ์ ร่อนจดหมายโต้ข่าวทิ้งพ่อ ยันดูแลมาตลอด โพสต์เมื่อ 21 ตุลาคม 2555 เวลา 10:04:26 2,617 อ่าน
TOP
x close