เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอบคุณภาพประกอบจาก news.cnhubei.com, news.e23.cn, zjjzx.cn
ถ้าหากว่าวันหนึ่ง เรามีโอกาสได้รวยเป็นเศรษฐีแล้ว คำถามตามมาคือ เราจะทำประโยชน์ตอบแทนให้กับสังคมหรือไม่ แล้วเราจะสอนลูกหลานเราอย่างไร แต่ในสังคมเรายังมีคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะเสียสละตัวเอง ทำงานตอบแทนสังคม แม้ตัวเองจะมั่งคั่งร่ำรวยเพียงใดแล้วก็ตาม ด้วยความคิดที่ว่า เกิดเป็นคนไม่ควรอยู่เฉย การลงมือทำเท่านั้นจึงจะได้มาซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังเช่นเรื่องราวที่เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษได้นำมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา เมื่อเศรษฐินีสูงวัยชาวจีนผู้หนึ่งเลือกประกอบอาชีพกวาดถนนให้เทศบาลแม้เงินเดือนที่ได้จะน้อยนิด แต่ก็สบายใจที่จะทำ
เศรษฐินีชาวจีนนามว่า อี๋โหย่วเจิน อายุ 53 ปี ชาวเมืองอู่ชาง นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ผู้เป็นเจ้าของตึกให้เช่า 17 หลัง มูลค่ามากกว่า 10 ล้านหยวน หรือราว 50 ล้านบาท แต่อี๋โหย่วเจินใช้ชีวิตแตกต่างไปจากกลุ่มเศรษฐีที่มักชอบอวดรวย โชว์เฟอร์นิเจอร์หรูเพื่อประกาศตนเป็นคนร่ำรวย หรือออกงานเพื่อให้มีหน้าตาในสังคม เพราะเธอเลือกที่จะประกอบอาชีพเป็นคนกวาดถนน ล้างถังขยะให้เทศกิจ ได้เงินเดือนเพียง 1,420 หยวน (ประมาณ 4,500 บาท) ทำงาน 6 วัน ทั้งหมดนี้ก็เพราะความสบายใจที่จะทำและต้องการสอนคุณธรรมการต่อสู้ทำงานหนักแก่ลูกหลาน
ทั้งนี้ เหตุผลที่เศรษฐินีอี๋โหย่วเจินผู้นี้เลือกหนทางเดินเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้าที่จะมีวันนี้ได้ เธอก็ผ่านอะไรมามากมาย เธอจึงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี และอยากจะย้ำเตือนว่าเธอมาจากที่ใด ต้องพยายามเพียงไหนถึงจะได้สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่หลงระเริงไปกับทรัพย์สินที่มีอยู่ โดยนางอี๋โหย่วเจินก็เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่มีอันจะกินนัก เรียนจบเพียงชั้นมัธยมและออกมาทำสวนผัก เธอต้องตื่นตั้งแต่ตีสามมาเด็ดผัก ล้างผัก และแบกผักหนักถึง 100 กิโลกรัมขึ้นรถจักรยานขี่ไปยังตลาดขายผัก เป็นประจำทุกวัน
ในเวลาต่อมา อี๋โหย่วเจินแต่งงานมีสามีและช่วยกันทำงานเก็บหอมรอมริบจนสร้างบ้าน 3 ชั้นหลังหนึ่ง ก่อนเปิดห้องว่างในบ้านให้เช่า ขยายกิจการออกไป ไม่กี่ปีต่อมาก็มีตึก 5 ชั้น 3 หลัง เป็นบ้านของเธอเอง ส่วนใหญ่ปล่อยให้คนเช่า กระทั่งในปี 2002 ในจีนมีการสำรวจที่ดินไล่ที่ชดเชยบ้านกันคึกคัก เธอมีตึกให้เช่า 21 หลัง ซึ่งต่อมาได้ขายไป 4 หลัง อย่างไรก็ตาม เธอตัดสินใจออกไปเผชิญโชคที่เมืองใหญ่อย่างเซินเจิ้นทั้ง ๆ ที่ก็มีรายได้จากค่าเช่าบ้านทำให้มีอยู่มีกินอย่างไม่ลำบาก แต่เธอบอกว่า "ฉันเป็นพวกที่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้" ดังนั้น เธอและสามีปรึกษากัน และซื้อรถบรรทุกคันหนึ่งไปรับจ้างบรรทุกของที่เซินเจิ้น แม้จะล้มเหลวแต่เธอและสามีก็ยังคงหางานทำต่าง ๆ ด้วยความคิดที่ว่า เกิดเป็นคนไม่ควรอยู่เฉย
ทั้งนี้ อี๋โหย่วเจินอยากเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ ของเธอ ไม่อยากให้พวกเขารู้สึกว่า อยู่เฉย ๆ แล้วจะมีโชคดีมีเงินได้ เพราะการลงมือทำเท่านั้นจึงจะได้สิ่งต่าง ๆ มา และไม่อยากให้ลูกหลงใหลกับสิ่งที่มีอยู่และใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่มีจุดหมายใด ๆ นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่า ถ้าลูก ๆ ของเธอไม่ทำงาน เธอก็จะเอาบ้านไปบริจาคให้ประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ลูก ๆ ของเธอ ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน โดยลูกชายเป็นคนขับรถ มีรายได้ 2,000 หยวนต่อเดือน ลูกสาวเป็นพนักงานบริษัท กินเงินเดือน 3,000 หยวน
ขอบคุณภาพประกอบจาก news.cnhubei.com, news.e23.cn, zjjzx.cn
ถ้าหากว่าวันหนึ่ง เรามีโอกาสได้รวยเป็นเศรษฐีแล้ว คำถามตามมาคือ เราจะทำประโยชน์ตอบแทนให้กับสังคมหรือไม่ แล้วเราจะสอนลูกหลานเราอย่างไร แต่ในสังคมเรายังมีคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะเสียสละตัวเอง ทำงานตอบแทนสังคม แม้ตัวเองจะมั่งคั่งร่ำรวยเพียงใดแล้วก็ตาม ด้วยความคิดที่ว่า เกิดเป็นคนไม่ควรอยู่เฉย การลงมือทำเท่านั้นจึงจะได้มาซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังเช่นเรื่องราวที่เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษได้นำมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา เมื่อเศรษฐินีสูงวัยชาวจีนผู้หนึ่งเลือกประกอบอาชีพกวาดถนนให้เทศบาลแม้เงินเดือนที่ได้จะน้อยนิด แต่ก็สบายใจที่จะทำ
เศรษฐินีชาวจีนนามว่า อี๋โหย่วเจิน อายุ 53 ปี ชาวเมืองอู่ชาง นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ผู้เป็นเจ้าของตึกให้เช่า 17 หลัง มูลค่ามากกว่า 10 ล้านหยวน หรือราว 50 ล้านบาท แต่อี๋โหย่วเจินใช้ชีวิตแตกต่างไปจากกลุ่มเศรษฐีที่มักชอบอวดรวย โชว์เฟอร์นิเจอร์หรูเพื่อประกาศตนเป็นคนร่ำรวย หรือออกงานเพื่อให้มีหน้าตาในสังคม เพราะเธอเลือกที่จะประกอบอาชีพเป็นคนกวาดถนน ล้างถังขยะให้เทศกิจ ได้เงินเดือนเพียง 1,420 หยวน (ประมาณ 4,500 บาท) ทำงาน 6 วัน ทั้งหมดนี้ก็เพราะความสบายใจที่จะทำและต้องการสอนคุณธรรมการต่อสู้ทำงานหนักแก่ลูกหลาน
ทั้งนี้ เหตุผลที่เศรษฐินีอี๋โหย่วเจินผู้นี้เลือกหนทางเดินเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้าที่จะมีวันนี้ได้ เธอก็ผ่านอะไรมามากมาย เธอจึงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี และอยากจะย้ำเตือนว่าเธอมาจากที่ใด ต้องพยายามเพียงไหนถึงจะได้สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่หลงระเริงไปกับทรัพย์สินที่มีอยู่ โดยนางอี๋โหย่วเจินก็เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่มีอันจะกินนัก เรียนจบเพียงชั้นมัธยมและออกมาทำสวนผัก เธอต้องตื่นตั้งแต่ตีสามมาเด็ดผัก ล้างผัก และแบกผักหนักถึง 100 กิโลกรัมขึ้นรถจักรยานขี่ไปยังตลาดขายผัก เป็นประจำทุกวัน
ในเวลาต่อมา อี๋โหย่วเจินแต่งงานมีสามีและช่วยกันทำงานเก็บหอมรอมริบจนสร้างบ้าน 3 ชั้นหลังหนึ่ง ก่อนเปิดห้องว่างในบ้านให้เช่า ขยายกิจการออกไป ไม่กี่ปีต่อมาก็มีตึก 5 ชั้น 3 หลัง เป็นบ้านของเธอเอง ส่วนใหญ่ปล่อยให้คนเช่า กระทั่งในปี 2002 ในจีนมีการสำรวจที่ดินไล่ที่ชดเชยบ้านกันคึกคัก เธอมีตึกให้เช่า 21 หลัง ซึ่งต่อมาได้ขายไป 4 หลัง อย่างไรก็ตาม เธอตัดสินใจออกไปเผชิญโชคที่เมืองใหญ่อย่างเซินเจิ้นทั้ง ๆ ที่ก็มีรายได้จากค่าเช่าบ้านทำให้มีอยู่มีกินอย่างไม่ลำบาก แต่เธอบอกว่า "ฉันเป็นพวกที่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้" ดังนั้น เธอและสามีปรึกษากัน และซื้อรถบรรทุกคันหนึ่งไปรับจ้างบรรทุกของที่เซินเจิ้น แม้จะล้มเหลวแต่เธอและสามีก็ยังคงหางานทำต่าง ๆ ด้วยความคิดที่ว่า เกิดเป็นคนไม่ควรอยู่เฉย
ทั้งนี้ อี๋โหย่วเจินอยากเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ ของเธอ ไม่อยากให้พวกเขารู้สึกว่า อยู่เฉย ๆ แล้วจะมีโชคดีมีเงินได้ เพราะการลงมือทำเท่านั้นจึงจะได้สิ่งต่าง ๆ มา และไม่อยากให้ลูกหลงใหลกับสิ่งที่มีอยู่และใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่มีจุดหมายใด ๆ นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่า ถ้าลูก ๆ ของเธอไม่ทำงาน เธอก็จะเอาบ้านไปบริจาคให้ประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ลูก ๆ ของเธอ ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน โดยลูกชายเป็นคนขับรถ มีรายได้ 2,000 หยวนต่อเดือน ลูกสาวเป็นพนักงานบริษัท กินเงินเดือน 3,000 หยวน