แฟ้มภาพ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ศาลอุทธรณ์ลดโทษกรณี หมูแฮม กัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ ขับรถเบนซ์ชนคนตายปี 2550 เหลือ 2 ปี 1 เดือน รออาญา 2 ปี
วันนี้ (5 มีนาคม พ.ศ. 2556) ศาลจังหวัดพระโขนง ถนนสรรพาวุธ อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีศาลจังหวัดพระโขนง พร้อมด้วย นายมาโนจน์ หรือธนชรพล โตจวง , น.ส.สังวาล สีหะวงษ์ , น.ส.สุชีรา อินทร์สุวรรณ์ และ นางทองดำ หลวงแสง ญาติของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือหมูแฮม บุตรชายของ นางสาวิณี ปะการะนัง อดีตนางสาวไทย ปี 2527 กับ นายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ได้อันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, มาตรา 80, มาตรา 91, มาตรา 289 และมาตรา 295
สำหรับกรณีดังกล่าวเป็นข่าวครึกโครม เมื่อเวลา 22.50 น. วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 หมูแฮม กัณฑ์พิทักษ์ ขับรถเบนซ์ ทะเบียน ศศ 6699 กรุงเทพมหานคร ไปรับน้องสาว แต่ระหว่างทางเกิดเฉี่ยวชนกับรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ สาย 513 ทะเบียน 12-0939 กรุงเทพมหานคร ขณะจอดติดไฟแดงอยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 26 แยกอารีย์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. หลังจากนั้น หมูแฮม เกิดมีปากเสียงกับนายสถาพร อรุณศิริ อายุ 37 ปี พนักงานขับรถ ขณะที่ทะเลาะกัน หมูแฮม ก็คว้าก้อนหินทุบใบหน้านายสถาพร จนศีรษะแตก เลือดอาบทั่วไปหน้า ทำให้กระเป๋ารถเมล์ ได้แจ้งให้ผู้โดยสารลงไปยืนรออยู่บนทางเท้าเพื่อเปลี่ยนรถ แต่ทันใดนั้น หมูแฮม กัณฑ์พิทักษ์ ได้ขับรถเบนซ์ตะลุยขึ้นทางเท้าพุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนอยู่ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ หลังก่อเหตุ นายกัณฑ์พิทักษ์ถึงนั่งตัวเกร็งอยู่ในเบาะคนขับ ก่อนถูกนำตัวส่ง โรงพยาบาลสมิติเวช ต่อมา นายกันฑ์เอนก บิดาของนายได้ออกมาระบุว่า ลูกชายมีอาการทางประสาท ชักเกร็ง เคยเข้ารับการรักษาจากสถาบันกัลยาราชนครินทร์มาแล้ว
ต่อมา หมูแฮม กัณฑ์พิทักษ์ ให้การรับสารภาพในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , พยายามฆ่าผู้อื่นให้การปฏิเสธ โดยเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของหมูแฮม กัณฑ์พิทักษ์ จำเลยในคดีนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามีสติฟั่นเฟือน ส่วนที่จำเลยอ้างว่ามีอาการเกร็งในขณะเกิดเหตุและตัวเองต้องได้รับการรักษาอาการป่วยจากแพทย์นั้น ศาลเห็นว่าที่จำเลยมีอาการเกร็งเกิดจากความเครียดจากการก่อเหตุเท่านั้น และที่จำเลยอ้างบังคับตัวเองไม่ได้เพราะมีสภาพจิตแปรปรวน จำเลยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ชัดเจน ศาลจึงพิพากษาลงโทษฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจำคุก 1 เดือน และริบรถยนต์ของกลาง พร้อมกันนี้ ศาลยังสั่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่ นางสมจิตร แกล้วกล้า กระเป๋ารถเมล์ ผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 100,000 บาท , น.ส.สังวาล โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 800,000 บาท , น.ส.สุชีรา โจทก์ร่วมที่ 3 จำนวน 79,412 บาท และนางทองดำ หลวงแสง โจทก์ร่วมที่ 4 มารดาของนางสายชล หลวงแสง พนักงาน ขสมก. ที่เสียชีวิต อีกจำนวน 2,158,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่การทำละเมิดวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนผู้เสียหายอื่น รวม 7 ราย จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจแล้ว
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา หมูแฮม กัณฑ์พิทักษ์ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์รับคดีไว้เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552 และในวันนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน จึงพิพากษา ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นในขณะไม่สามารถรู้สึกผิดชอบหรือบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง ให้จำคุก 3 ปี ขณะที่จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหาย จนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและอาญากับจำเลยต่อไปอีก จึงเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี ส่วนข้อหาทำร้ายผู้อื่น จำคุก 1 เดือน โทษจำคุกให้รอลงอาญา เป็นเวลา 2 ปี และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ รวมถึงให้จำเลยไปเข้ารับการรักษาอาการบกพร่องทางจิตเป็นประจำตามที่ทางแพทย์กำหนดด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
