ดีเอสไอชี้ชัด พระเณรคำ ขาดจากความเป็นพระแล้ว เชื่อไม่กลับไทย






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส

           ดีเอสไอชี้ชัด พระเณรคำ ขาดจากความเป็นพระแล้ว พร้อมเชื่อจะไม่เดินทางกลับไทยเหมือนกับกรณีของ พระยันตระ ที่โด่งดังในอดีต ด้าน คกก.วัดใต้ฯ ต้นสังกัด เตรียมขับไล่ออกจากวัด

           วันนี้ (7 กรกฎาคม 2556) พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบ พระเณรคำ ฉัตติโก แห่งสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ กำลังสอบพยาน ซึ่งปรากฏว่า มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของพระรูปนี้จำนวนมากขึ้น โดยฐานความผิดที่ดีเอสไอ กำลังรวบรวมหลักฐาน คือ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เด็กหญิงอายุ ต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 4-20 ปี และฐานความผิด พรากผู้เยาว์ อายุไม่ถึง 15 ปี ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ ฐานความผิดสูงสุด จำคุก 20 ปีเช่นกัน


           ทั้งนี้ ต่อจากนี้ ดีเอสไอ จะรวบรวมหลักฐานทั้งหมด และมอบให้ทางตำรวจท้องที่ แจ้งข้อกล่าวหา ส่วนดีเอสไอ จะเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษ เพื่อขอรับเป็นคดีพิเศษอีกครั้งหนึ่ง โดยจากหลักฐานที่ปรากฏขณะนี้นั้น ชัดเจนว่าทางโลกพระเณรคำ ขาดจากความเป็นพระแล้ว แต่ทางสงฆ์ ก็ต้องให้จัดการกันเอง ซึ่งทราบว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้เร่งรัดในเรื่องทางสงฆ์แล้วเช่นกัน

           นอกจากนี้ ทางดีเอสไอ เชื่อว่า ทาง พระเณรคำ ฉัตติโก ที่อยู่ในต่างประเทศ จะไม่เดินทางกลับประเทศแน่ เหมือนกับกรณีของ พระยันตระ ที่โด่งดังในอดีต


           โดย นายสุขุม วงษ์ประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ ระบุว่า กระบวนการยุติธรรมของฝ่ายสงฆ์เป็นการตัดสินเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้เปิดโอกาสให้หลวงปู่เณรคำได้มีตัวแทนเข้าอธิบาย ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของท่าน และไม่สอดคล้องกับกระบวนการยุติธรรมของศาลไทยและเป็นไปในลักษณะเผด็จการ เนื่องจากไม่ให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ทำให้เป็นที่อับอายแก่ชาวต่างชาติเป็นอย่างมากในขณะนี้

           นายสุขุม กล่าวต่อว่า ส่วนหลวงปู่เณรคำยังคงติดกิจนิมนต์อยู่ที่ฝรั่งเศส และจะยังไม่เดินทางกลับจนกว่าจะได้รับความยุติธรรม  สำหรับตนนั้น ตนได้นำภาพที่อ้างว่าเป็นหลวงปู่เณรคำนอนกับสีกาไปให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งหากผลออกมาว่าเป็นหลวงปู่เณรคำจริง ตนก็จะขออโหสิกรรมให้ แต่ถ้าไม่ใช่ตนก็จะเดินหน้าปกป้องผ้าเหลืองของหลวงปู่เณรคำต่อไป

           ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าหลวงปู่เณรคำมีภรรยาและมีลูกแล้วนั้น นายสุขุม ระบุให้ไปตรวจดีเอ็นเอกันทั้งสองฝ่ายแล้วค่อยตัดสิน ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงก็ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ซึ่งต่อจากนี้ตนจะไปยื่นเรื่องถึงศูนย์ช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย เนติบัณฑิต เพื่อส่งให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมาย และพระวินัยสงฆ์มาช่วยเหลือหลวงปู่เณรคำด้วย เพราะถือว่าท่านก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐธรรมนูญ

           ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำ เมื่อวานนี้ (6 กรกฎาคม 2556) ทางพระราชธรรมโกศล(สวัสดิ์) เจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ได้ตรวจสอบประวัติความเป็นมาของหลวงปู่เณรคำ ได้ข้อสรุปว่า หลวงปู่เณรคำได้มีการอุปัชฌาย์จริง และเข้ามาของสังกัดที่วัดใต้ แต่ไปจำวัดที่สำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม ตั้งแต่ปี 2549 ส่วนเรื่องการขับออกจากวัดนั้น คณะกรรมการทุกท่านเห็นด้วย เนื่องจากหลวงปู่เณรคำไม่เคยอยู่วัด เป็นหลักแหล่ง เพราะปกติแล้ว เณรหรือพระ ออกจากวัดนานได้แค่ 7 วัน ถึง 1 เดือนเท่านั้น เว้นแต่กรณีเจ็บป่วย แต่ด้านหลวงปู่เณรคำนั้น มีการเดินทางไปมาตลอด ไม่ได้อยู่ในโอวาทและขาดการติดต่อ
 
           อย่างไรก็ดี คณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอำนาจตัดสินใจที่จะไล่ออก แต่จะส่งผลสรุปให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งเบื้องต้นก็ยืนยันตามความเห็นของคณะกรรมการคือให้ขับออก แต่จะขับออกเมื่อไรภายในวันไหน จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้    

           ทางด้าน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวเห็นด้วยเรื่องที่จะขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดวัดใต้ฯ เพราะว่าทุกฝ่ายได้ให้โอกาสหลวงปู่เณรคำออกมาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็กลับไม่ยอมให้ข้อมูล ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเป็นกระบวนการของเจ้าคณะปกครอง และกระบวนการทางกฎหมายบ้านเมืองต่อไป
 


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ดีเอสไอชี้ชัด พระเณรคำ ขาดจากความเป็นพระแล้ว เชื่อไม่กลับไทย โพสต์เมื่อ 7 กรกฎาคม 2556 เวลา 11:08:34 3,850 อ่าน
TOP
x close