เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก luangpunenkham.com
พบหลักฐาน สมีคำ ซื้อรถอีก 20 คัน มีทั้งชื่อตัวเอง ชื่อน้อง จำนวน 29 ล้านบาท อีกทั้งยังแอบอ้างเรื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ด้านดีเอสไอ เดินหน้าเต็มที่ ทำเรื่องไปยังสหรัฐฯ พร้อมแนบหมายจับ เพื่อขอเพิกถอนวีซ่า
วานนี้ (18 กรกฎาคม 2556) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าล่าสุดในการติดตามรถยนต์ที่ "สมีคำ" ซื้อไว้ว่า ตนได้รับรายงานจาก พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค และ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังใสย์ รองผู้บัญชาการสำนักคดีปฏิบัติการพิเศษภาค ดีเอสไอ หลังจากที่ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยพบว่า ทรัพย์สินในส่วนของรถยนต์เพิ่มเติมอีก 20 คันของสมีคำ ประกอบด้วย รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า คัมรี 16 คัน รถกระบะ 2 คัน และรถตู้ 2 คัน มีทั้งชื่อสมีคำ น้องชาย บุคคลอื่น และรถที่ยังไม่โอนอีกจำนวนหนึ่ง รวมมูลค่ากว่า 29 ล้านบาท
ในส่วนของการเพิกถอนวีซ่าของสมีคำนั้น นายธาริต ระบุว่า ตนได้ลงนามหนังสือราชการส่งไปยังกรมการกงสุล โดยแจ้งให้เพิกถอนหนังสือเดินทาง พร้อมได้แนบหมายจับไปด้วย นอกจากนี้ยังได้แจ้งให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และมหาเณรสมาคม ให้ทราบพร้อมแนบหมายจับไปด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องการเพิกถอนวีซ่า และการผลักดันกลับนั้น ได้ประสานไปยังสำนักงานกิจการต่างประเทศ และคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศเร่งดำเนินการแล้ว ซึ่งทราบมาว่า วีซ่าของสมีคำในประเทศอเมริกาจะใช้ได้ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2556 ทั้งนี้ การส่งหนังสือราชการเพื่อให้เพิกถอนวีซ่าตามหมายจับ จะใช้เวลาเร็วกว่าการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และหากมีการยกเลิกวีซ่าเมื่อไร ทางไทยจะจัดเจ้าหน้าที่เดินทางไปรับตัวกลับมาดำเนินคดีในทันที
ขณะที่ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม ระบุว่า ในวันนี้ (19 กรกฎาคม 2556) เวลา 10.00 น. ดีเอสไอ จะมาขอรับสำนวนการสอบสวนทั้งหมด ที่กองปราบปรามได้รวบรวมไว้ไปดำเนินการต่อ ทั้งคดีทางการเงิน คดีฉ้อโกง และที่สำคัญมีหลักฐานใหม่ที่เป็นทีเด็ด ที่สมีคำแอบอ้างเรื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย ส่วนทองคำจำนวน 8 ตัน ที่เป็นข่าวว่ามีในครอบครองนั้น มีข้อมูลระบุว่า สมีคำมีทองจำนวนมากจริง แต่อาจจะไม่ถึง 8 ตันอย่างที่เป็นข่าว
ส่วนทางด้าน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. กล่าวว่า ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ได้รับตัวหนังสือหมายจับ แต่ได้รับการประสานข้อมูลมาแล้ว ส่วนทางพระธรรมวินัย ยังประสานคณะสงฆ์ดำเนินการต่อ เพราะยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องสืบข้อเท็จจริง หาพยานหลักฐาน รวมทั้งการดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้รู้เห็นเป็นใจ สุดท้ายจะบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาทางแก้ไขเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้ลดลง หรือแก้ไขทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตัวสมีคำก็ถือว่าอาบัติปาราชิกแล้ว สามารถดำเนินการในทางโลกได้เต็มที่ รวมทั้งการดำเนินคดีอาญา ทั้งนี้ทาง พศ. ก็ทำหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ว่าให้ถอนหนังสือเดินทาง นอกเหนือจากทางดีเอสไอที่ได้ทำเรื่องไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ส่วนกรณีที่หลวงปู่พุทธะอิสระยื่นให้ตรวจสอบเถรสมาคม เจ้าคณะอำเภอ และตำบลศรีสะเกษ และอุบลราชธานีนั้น เป็นเรื่องคณะสงฆ์ เราไม่มีอำนาจตรวจสอบ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก