เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์, Sorarit Kiatfuengfoo, Drama-addict
ดูเหมือนเรื่องนี้จะกลายเป็นดราม่ายาวเหยียดซะแล้ว สำหรับกรณีที่ นางสาวชลธิชา อายุ 33 ปี ไม่มีเงินคลอดลูกจึงเดินทางกลับบ้านเพื่อคลอดลูกเอง แต่โชคร้ายที่ทารกเสียชีวิตทันทีที่คลอดออกมา ซึ่งกระแสข่าวก็ต่อว่าโรงพยาบาลเอกชนที่เธอมีสิทธิประกันสังคมอย่างมาก อีกทั้ง ดาราใจบุญอย่าง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ก็ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับข่าวดังกล่าวด้วย ทำให้ชาวเน็ตต่อว่าด่าทอการกระทำของโรงพยาบาล ร่ายยาวไปถึงจรรยาบรรณของแพทย์กันเลยทีเดียว
และถึงแม้ว่า คนไข้ คือ นางสาวชลธิชา จะออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวแล้วว่า เธอเป็นคนเต็มใจที่จะเดินทางกลับบ้าน และตัดสินใจที่จะไม่คลอดลูกที่โรงพยาบาลเอง เพราะห่วงลูกคนเล็กที่บ้าน อีกทั้งไม่ได้มีอาการเสียเลือดมากถึงขั้นสาหัสอะไรตามข่าวที่นำเสนอ นอกจากนี้ นางสาวชลธิชา ยังระบุอีกว่า ไม่เคยคุยกับบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ อย่างที่ คุณบิณฑ์ได้กล่าวไว้ด้วย งานนี้ทำเอาชาวเน็ตออกอาการงง ! ว่าทำไมคุณบิณฑ์ถึงได้ออกมาโพสต์ข้อความในลักษณะนั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้ (14 ตุลาคม 2556) บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้ง เพื่อชี้แจงถึงคลิปสัมภาษณ์และข่าวต่าง ๆ ดังนี้...
"สวัสดีครับเพื่อน ๆ ...ผมขอชี้แจงกับสิ่งเกิดขึ้นกับครอบครัวผู้สูญเสียในความเป็นจริงที่สุด ผมเป็นคนจริงและมีความเป็นคนครับ สิ่งที่ผมนำเสนอข้อมูลผมมีความรับผิดชอบอยู่แล้วครับ ตอนนี้ผมอยู่กับญาติของผู้เสียหายและมีคนหนึ่งซี่งอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้น เขายังงงว่าวันนั้นในเมื่อรู้ว่าคนป่วยใกล้คลอดแล้ว ทำไมไล่เขาไป รพ. อื่น แล้วยังบอกว่าให้รีบไปอย่าแวะที่ไหนเพราะเด็กจะใกล้คลอดแล้ว แท็กซี่ก็ยังงงว่าทำไมไม่ทำคลอดที่นี่
คนไข้บอกต้องใช้เงิน 18,000 บาท พยาบาลท่านนั้นรีบให้คนไข้ขึ้นรถแท็กซี่ โดยไม่ให้เอกสารอะไรเลยบอกแต่เพียงไป รพ. รัฐค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าหมื่นเศษ ๆ จนคนไข้ขอกลับบ้านเพราะไม่มีเงิน คุณบุญสืบที่พาคนไข้ไปคลอดก็เลยไปส่งคนไข้ที่บ้าน เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมง คุณบุญสืบได้กลับไปหาคนไข้ ปรากฏว่าคนไข้ได้คลอดลูกแล้ว
คนไข้บอกว่าเด็กเสียชีวิตแล้วคุณบุญสืบก็เลยโทรแจ้งเจ้าหน้าเพื่อมารับคนไข้ เพราะตอนนั้นคนไข้อาการไม่ดีเสียเลือดมาก ทางเจ้าหน้าที่ก็นำส่ง รพ.ราชวิถี แต่ รพ. ปฏิเสธในการรับ เพราะเป็นคดีความเลยแนะนำไปส่งที่ รพ.รามา ทางรามาก็รับตัวคนไข้เอาไว้ และได้ซักประวัติจึงรู้ว่ามีประกันสังคมอยู่ที่ รพ.เดชา จึงบอกกับญาติให้รักษาตัวที่ต้นสังกัดดีกว่าเพราะไม่เสียค่าใช้จ่าย
แต่ทางคนไข้ไม่อยากไปที่นั้น เพราะได้รับการปฏิเสธมาตั้งแต่แรก ทาง รพ.รามา จึงโทรแจ้ง รพ. ต้นสังกัดมารับตัวคนไข้ไปรักษาตัวต่อที่ รพ. แต่ครั้งแรกปฏิเสธ คนไข้ยังบอกอีกว่าเมื่อเช้ากับตอนเย็นพูดคนละอย่างเลย (หลังจากข่าวได้ออกไป) บอกจะจ่ายให้ทุกอย่างและนำข้อมูลในการให้ปากคำของคนไข้ออกมาพูดเพื่อปกป้องตัวเอง..
มาถึงตรงนี้แล้วผมถามหน่อยนะครับ ว่าทำไมรู้ว่าคนไข้จะคลอดแล้วจะให้เขาไปที่อื่นทำไม ? แล้วตอนนี้ไปรับตัวคนไข้มารักษาทำไมที่ รพ. ต้นสังกัด ในเมื่อตอนแรกปฏิเสธในการทำคลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน ? อย่าบังคับให้เขาพูดแล้วพวกคุณจะพ้นความผิดหรือ การที่เอาคนไข้มารักษาตัวที่ รพ. ต้นสังกัด แค่นี้ญาติก็งงหมดแล้วครับ ผมไม่โกรธนะครับใครจะว่าอะไรผม เชิญตามสบาย ความจริงก็คือความจริง ผมก็ยังจะนำเสนอสิ่งที่อยากให้สังคมรับรู้จะได้ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ผมไม่มีอคติกับใคร แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมนำเสนอน่าจะเป็นอุทาหรณ์รายต่อไปครับถ้าสนใจหรือสอบถามกับญาติเลยครับ พูดจริงทุกประเด็นไม่มีแอบแฝง"
ขณะที่ เฟซบุ๊ก Sorarit Kiatfuengfoo คนเดียวกับที่สัมภาษณ์คนไข้ ก็ได้โพสต์สเตตัสถึงกรณีดังกล่าวเช่นกันว่า...
"จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เลิกแถนะครับ โผล่ไปตอนนี้เพื่อสร้างภาพ ??
ยังจะแต่งเรื่องไปถึงเมื่อไหร่
คนไข้เสียเลือดปกติจากการคลอด และไม่ได้มีอาการแสดงใด ๆ เลยที่แสดงให้เห็นว่าอยู่ในภาวะเสียเลือดหรือช็อก
ซึ่งแน่นอนทาง รพ.ราชวิถี เห็นว่าอาจเป็นคดีต้องมีการชันสูตร จึงแนะนำให้ไป รพ.รามา ซึ่งมีหน่วยนิติเวช และทางราชวิถีได้ประเมินแล้วว่าผู้ป่วยสัญญาณชีพปกติ ไม่มีภาวะช็อกจึงให้ไปที่ รพ.รามา ได้ หลังจากนั้นเมื่อทาง รพ.รามา ประเมินผู้ป่วยแล้วและพบว่าสิทธิ์การรักษาอยู่ที่ รพ.เดชา จึงส่งตัวต่อมา เนื่องจากไม่มีภาวะช็อกตามที่คุณอ้าง เรื่องนี้เกี่ยวกับสิทธิ์การรักษา ซึ่งคุณไม่เคยที่จะพยายามทำความเข้าใจกับมันเลย
ความจริงก็คือความจริงอย่างที่คุณพูด และเรื่องแต่งก็คือเรื่องแต่ง
ไม่มีใครบังคับผู้ป่วยให้พูด เค้าพูดความจริงว่าคุณไม่เคยมาเจอเค้าแต่คุณกลับไปประกาศว่าคุณคุยแล้ว คนที่พยายามยุให้ญาติเข้าใจผิดคือฝั่งคุณมากกว่า ญาติไม่เคยมีปัญหา ผู้ป่วยไม่เคยมีปัญหา...แต่คุณคือตัวปัญหาครับ เข้าใจไว้ด้วย"
นอกจากนี้ ในเฟซบุ๊ก Drama-addict ได้โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวเช่นกัน โดยระบุว่า...
"พี่บิณฑ์ครับ เลิกปั้นน้ำให้ตัวเองเป็นพระเอกได้แล้วนะครับ
ทุเรศจริง ๆ นี่น่ะเหรอคนจริง พวกจมไม่ลงล่ะไม่ว่า ยอมรับว่าตัวเองโง่ ไม่รู้เรื่องระบบการรักษา ไม่เข้าใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดที่ไม่มีใครต้องการให้มันเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดไปแล้ว จะได้ไหมวะครับ
วู้ คิดว่ามีพี่เป็นคนดี เป็นคนมีจริยธรรมคิดอยากช่วยเหลือคนไข้อยู่คนเดียวเหรอครับ"
