เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ CutelyBearLove สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
ตีสิบ เอ๋ ธนัญชัย ศรีมกุฏ เผยประสบการณ์ชีวิตเสพติดศัลยกรรม ทำมาแล้วกว่าร้อยครั้ง หมดเงินไปกว่า 3 ล้านบาท หวังหล่อขั้นเทพได้เป็นสจ๊วต ลบปมด้อยถูกเพื่อนล้ออัปลักษณ์ตั้งแต่เด็ก
เทรนด์การทำศัลยกรรมมาแรงสุด ๆ ในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง เราถึงเห็นคุณสาว ๆ (อยากสวย) หลายคน เทียวเข้าเทียวออกคลินิกศัลยกรรมเป็นว่าเล่น เพื่อจะได้สวย เด้ง ขาว อึ๋ม สมใจ แต่เอ...ยุคสมัยนี้ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่อยากสวย เพราะผู้ชายเขาก็อยากหล่อเหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อขอพาไปย้อนดูรายการตีสิบ ที่ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อคืนวันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2556 แล้วจะอึ้ง !!!
โดยรายการตีสิบได้เชิญ คุณเอ๋ ธนัญชัย ศรีมกุฏ หนุ่มวัย 34 ปี มานั่งสนทนาถึงประสบการณ์การทำศัลยกรรมของเขาที่ฟังแล้วน่าตกใจไม่น้อย เพราะที่ผ่านมา ใบหน้าของเขาผ่านมีดหมอมาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง ด้วยความคิดตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นที่มองว่าตัวเองขี้เหร่มาก
คุณเอ๋ บอกว่า ตอนเด็ก ๆ เขาฝันที่จะได้เป็นสจ๊วตมาก แต่เห็นว่าคนเป็นสจ๊วตมีแต่คนหน้าตาดี ๆ ทั้งนั้น ส่วนตัวเองทั้งอ้วน ดำ ตาตี่ จมูกบาน ปากหนา สิวเห่อ จึงไม่มีโอกาสแน่ ๆ เลยคิดว่าก่อนอื่นต้องตั้งใจเรียนให้ดีก่อน แล้วหน้าตาค่อยไปว่ากันทีหลัง
"ถ้าตอนนี้ให้คะแนนตัวเอง 100 ตอนก่อนทำ ผมก็ติดลบ 100 เหมือนกัน ตอนนั้นเห็นพนักงานบนเครื่องบินดูหน้าตาดีจัง ส่วนเราไม่มีโอกาสแน่ ๆ กลับบ้านมาถึงกับร้องไห้ เพราะไม่มีทางเลย ต่อให้เราจบเกรดดีขนาดไหน ได้เกียรตินิยม แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสวยหล่อมันเป็นการสร้างมูลค่าให้ตัวเองอย่างหนึ่ง "
เขาคิดเสมอว่าตัวเขามีปมด้อย ถูกเพื่อนล้อเรื่องรูปร่างหน้าตามาตลอด เลยตัดสินใจทำศัลยกรรมตั้งแต่อายุ 18 ปี เริ่มจากการทำตา 2 ชั้น แต่ก็ใช่ว่าจะโชคดีเหมือนคนอื่น ๆ เพราะในการทำครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ จึงแก้เสริมเติมแต่งมาเรื่อย ๆ ก็ยังเจอปัญหาไหมหลุดบ้าง ตาโตไม่เท่ากันบ้าง ทำแป๊บเดียวเนื้อตาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เพราะตัวเองเป็นคนอ้วนมาก่อนจึงมีเนื้อตาเยอะ ดังนั้น กว่าตาจะโตสวยตรงใจ เขาต้องทำตาไปถึง 12 ครั้ง
หลังจากนั้น คุณเอ๋ ก็ยังไปกรีดขมับดึงผิวหนังตรงใบหน้าให้เข้ามา เพื่อแก้ปัญหาตาตก จากนั้นก็ไปทำจมูก 6 ครั้ง เพราะบางครั้งไปเล่นกีฬาเจอแรงกระแทกก็ต้องเปลี่ยนใหม่ เสร็จแล้วก็ไปตัดปีกจมูก 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้จมูกบานใหญ่ แต่ด้วยความที่เป็นคนกระดูกสั้น หมอก็เลยต้องไปตัดเอากระดูกอ่อนจากหูสองข้างมาใส่ เพื่อที่จะทำให้จมูกดูยาวขึ้น
ทำไปหลายอย่างแล้วก็ยังไม่หล่อสมใจ คุณเอ๋ เลยต้องเหลาหน้ากลม ๆ ด้วยการเอาไขมันออกอีก 2 ครั้ง จะได้มีใบหน้ารูปไข่ แล้วก็ยังไปตัดริมฝีปาก 4 ครั้ง เพราะเป็นคนริมฝีปากหนามาก ที่ต้องทำ 4 ครั้งก็เพราะในการทำแต่ละครั้งจะตัดออกเพียงนิดเดียว เพื่อดูว่าโอเคหรือยัง หากยังไม่โอเคก็ค่อยตัดเพิ่ม เพราะถ้าพลาดตัดออกไปหมดแล้ว จะไม่สามารถแก้ไขได้
ต่อด้วยการทำคาง แต่ทำไปครั้งแรกแล้วดูแลตัวเองไม่ดีพอ คางเลยเน่าต้องไปแก้ไขใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็ไปดูดไขมัน กำจัดความอ้วนออก แล้วก็เอาไขมันตัวเองกลับมาฉีดเข้าหน้า เพื่อให้หน้าดูมีมิติ ไม่แบน แค่นั้นยังไม่พอ เขายังเอาเลือดของตัวเองออกมาสกัด ก่อนจะปั่นเลือดแล้วฉีดกลับเข้าไป ซึ่งคุณเอ๋บอกว่า นี่เป็นนวัตกรรมใหม่ ถ้าทำแล้ว 6 ครั้ง จะทำให้หน้าเราดูเด็กลงเป็นสิบปี แต่ก็ย้ำว่าขอให้ฟังหูไว้หู เพราะนี่เป็นความเชื่อส่วนบุคคล
ส่วนการร้อยไหมที่เป็นเทรนด์ศัลยกรรมสุดฮิตนั้น คุณเอ๋ ก็ไม่พลาด เพราะเขาได้ร้อยไหมมาเกิน 1 พันเส้นเข้าไปแล้ว ทำเป็นร้อย ๆ ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนจะได้ยกพื้นที่ผิวหนังใบหน้าของเขาขึ้นไป ที่เหลือก็คือการทำโบท็อกซ์ ฉีดฟิลเลอร์ เลเซอร์ ที่ต้องทำทุก ๆ เดือน เบ็ดเสร็จแล้วทำมาเป็นร้อย ๆ ครั้ง เพราะบางครั้งเกิดติดเชื้อบ้าง อักเสบบ้าง ต้องเข้าไปแก้ใหม่อยู่เรื่อย ๆ
แต่ถ้าถามว่าเขาเริ่มมั่นใจในความหล่อของตัวเองจนกล้าเดินเข้าไปสมัครเป็นสจ๊วตตั้งแต่เมื่อไร ก็ต้องบอกว่าน่าจะเป็นตอนอายุ 23 ปี ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองดูดีแล้ว แต่เขาก็ยอมรับว่าเป็นคนเสพติดศัลยกรรม เพราะคนที่ทำศัลยกรรมบ่อย ๆ เวลามองกระจกจะเห็นจุดบกพร่องของตัวเอง ว่า ตรงนั้นยังไม่ดี ตรงนี้ยังไม่ใช่ ถึงได้เจอจุดบกพร่องไปทำศัลยกรรมอีกเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม คุณเอ๋ ก็เคยพลาดไปเหมือนกัน เพราะหลงเชื่อเพื่อนจึงได้ไปฉีดจมูกโด่งกับหมอกระเป๋า หรือหมอเถื่อน ด้วยเห็นว่าราคาถูก แถมเพื่อนยังเชียร์ว่าหมอคนนี้เคยทำจมูกให้ดารานายแบบมาแล้วหลายครั้ง แต่หลังทำเสร็จเพียงแค่ 5 วัน จมูกของเขาก็เริ่มบวม อักเสบ และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงต้องไปหาหมอจริง ๆ เพื่อให้ช่วยผ่าตัดให้ ใช้เวลาเกือบ 7 ชั่วโมง แถมยังต้องปรับปรุงส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าที่ได้รับผลกระทบไปด้วย
เห็นคุณเอ๋ทำศัลยกรรมมามากมายขนาดนี้ รู้ไหมว่าเขาหมดเงินไปแล้ว 3 ล้านกว่าบาท แต่ก็ยังเหลือส่วนคิ้วที่ยังไม่ได้ทำ เป็นส่วนเดียวที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งถ้าถามว่าคิดว่าตัวเองทำศัลยกรรมมากไปหรือยัง เขาก็ตอบว่า...
"ตอนนี้ผมมีความสุขกับใบหน้าที่ทำ อย่างที่บอกว่าการศัลยกรรมมันขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ทำ ที่เวลาส่องกระจกแล้วรู้สึกมีความสุขหรือเปล่า ถ้าเราส่องกระจกแล้วรู้สึกมันยังไม่ดีพอ เราจะไม่มั่นใจเวลายิ้มกับคนอื่น ซึ่งนี่ก็เป็นความคิดของตัวเอง"
อย่างไรก็ตาม คุณเอ๋ ก็รู้ว่าตัวเองทำศัลยกรรมมามากเกินไปแล้ว ตอนนี้จึงหยุดแล้ว มีแต่ไปโบท็อกซ์ ฉีดฟิลเลอร์นิด ๆ หน่อย ๆ ยอมรับว่าที่ผ่านมาต้องดูแลตัวเองหนักมาก ๆ ต้องใช้ชีวิตอย่างระวังทุกย่างก้าว ห้ามโดนความร้อน ไปเล่นกีฬาหนัก ๆ ก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้รูปหน้าเสีย หรือไหมละลายจนหน้ากลับมารูปเดิม
ความหล่อที่เพิ่มขึ้น แม้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ คุณเอ๋ ธนัญชัย สามารถลบปมด้อยของชีวิตออกไปได้ และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ซึ่งก็มีส่วนทำให้เขาได้ทำงานที่ตัวเองใฝ่ฝัน แต่ก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะต้องเจ็บตัว เสี่ยงต่อการติดเชื้ออักเสบ ต้องคอยแก้ไขอยู่ทุกระยะ ซึ่งต้องสูญเงินไปกว่า 3 ล้าน
บางครั้งการทำศัลยกรรมก็มาพร้อมกับความเสี่ยง ดังที่มีข่าวพริตตี้สาว ๆ หลายคนไปทำศัลยกรรมจนต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า ดังนั้น ใครที่กำลังคิดจะทำก็ควรศึกษาหาข้อมูล เปรียบเทียบผลดีผลเสียให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังในสิ่งที่เราไม่สามารถเรียกคืนได้
คลิป ตีสิบ สนทนา ชายหนุ่มผู้เสพติดการศัลยกรรม 3Dec2013 3/5
เครดิต รายการตีสิบ โพสต์โดยคุณ CutelyBearLove สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
คลิป ตีสิบ สนทนา ชายหนุ่มผู้เสพติดการศัลยกรรม 3Dec2013 4/5
เครดิต รายการตีสิบ โพสต์โดยคุณ CutelyBearLove สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
เครดิต รายการตีสิบ โพสต์โดยคุณ CutelyBearLove สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
คลิป ตีสิบ สนทนา ชายหนุ่มผู้เสพติดการศัลยกรรม 3Dec2013 4/5
เครดิต รายการตีสิบ โพสต์โดยคุณ CutelyBearLove สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม