ขอขอบคุณภาพประกอบจาก mineromariosepulveda.cl
มาริโอ้ เซปุลเวด้า หัวหน้าคนงานเหมืองที่พาลูกน้องรอดชีวิตหลังติดในเหมือง 2 เดือน เผยชีวิตหลังจากนั้น เหมือนตกนรกทั้งเป็น ถูกคนจำนวนมากเอาเปรียบ
เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2557 มีรายงานว่า เรื่องราวของคนเหมืองในชิลี 33 คน ที่ติดอยู่ใต้เหมืองนาน 69 วัน แต่สุดท้าย พวกเขาก็สามารถเอาตัวรอดและออกมาเจอกับแสงได้สำเร็จ กลายมาเป็นเรื่องเล่าที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและการเอาตัวรอดในยุคใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายมาริโอ้ เซปุลเวด้า หัวหน้าคนงานเหมือง ที่กลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน หลังจากที่เขาพาลูกน้องออกมาจากเหมืองพร้อมกับพูดว่า Viva Chile! (ชิลีจงเจริญ)
หลังจากนั้น นายมาริโอ้ก็ได้ไปเที่ยวที่ดิสนีย์เวิลด์ ไปเที่ยวที่ประเทศกรีก และประเทศอิสราเอล แม้กระทั่งได้ดูทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล่นในสนามของตัวเอง และทางฮอลลีวูดเองก็นำเรื่องราวของคนงานเหมือง 33 คนไปทำเป็นภาพยนตร์ โดยมีแอนโตนิโอ แบนเดอรัส ดาราชื่อดัง เล่นเป็นนายมาริโอ้
อย่างไรก็ตาม ชีวิตหลังจากที่ออกมาจากเหมือง ก็ไม่ได้ดีไปหมดเสียทุกอย่าง นายมาริโอ้กลับบอกว่า หลังจากที่ออกมาจากเหมืองกลับเป็นจุดเริ่มต้นของนรก เขาและเพื่อนคนเหมืองต่างรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและถูกสังคมเอาเปรียบ และในตอนนี้ เขาก็กำลังเตรียมตัวกลับเข้าไปทำงานเป็นคนงานในเหมืองอีกครั้ง
"ผมต้องกลับไปทำงานที่เหมืองอีกครั้ง เพราะนั่นคือที่เดียวที่ผมรู้สึกปลอดภัย นักสร้างหนังกำลังสร้างหนังของเรา แต่ชีวิตจริงนั้นไม่ได้จบแบบในหนัง"
นายมาริโอ้ ได้พบกับผู้สื่อข่าว และเขาก็ได้พาผู้สื่อข่าวไปเยี่ยม ชมห้องในโรงแรมของเขา ที่ต้องเอาม่านหนามาบังแสง โดยเขาบอกว่า เขาชื่นชอบที่จะอยู่ในความมืด มันทำให้เขารู้สึกสบาย เขารู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในความมืดคนเดียว แต่พอเขาออกไปข้างนอก หลาย ๆ คนก็เข้ามาหาเขา ทักทายและขอถ่ายรูป เขามีชื่อเสียงแต่ไม่ได้มีเงิน นั่นคือสิ่งที่แย่ที่สุดแล้ว
นายมาริโอ้ ยังกล่าวว่า เขาและคนงานเหมืองต่างทุกข์ทรมานกับฝันร้ายและอาการซึมเศร้า ซึ่งอาการทางจิตนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเขาต้องอยู่ในที่มืดเป็นเวลานาน เขาต้องรับประทานยาเพื่อบำบัดอาการ ซึ่งมีทั้งยาบำบัดอาการซึมเศร้ารวมถึงยานอนหลับและยาคลายเครียด ส่วนมากคนงานเหมืองจะต้องใช้ยาเหล่านี้ และเขาคิดว่าเขาต้องทานยาพวกนี้ไปตลอดชีวิต
"พวกเราทุกคนเป็นคนง่าย ๆ เป็นชนชั้นแรงงานที่ต้องลงไปใต้เหมืองและกลับขึ้นมาบนโลกหลังจากที่ผ่านไป 69 วัน ในช่วง 2-3 เดือนแรกเราก็เหมือนเป็นดารา แต่โลกทั้งใบก็ค่อย ๆ ลืมเราอย่างช้า ๆ และปล่อยให้เราต้องทรมานในความเงียบ" นายมาริโอ้ กล่าว
ด้านรัฐบาลชิลีและนายเซบาสเตียน ปิเนร่า อดีตประธานาธิบดีของชิลี ก็ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง เนื่องจากเหมืองซานโฆเซ่นั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นกับดักนรกเพราะไม่มีความการให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัย อีกทั้งการสืบค้นถึงที่มาของอุบัติเหตุในครั้งนี้ก็ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยที่ไม่มีการตั้งข้อหากับเจ้าของเหมืองเลย
"ชิลีเป็นประเทศที่มีแต่ความเสื่อมทราม ประธานาธิบดีได้ให้การสนับสนุนหน่วยกู้ภัย และผมก็รู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่เขาทำ แต่นั่นคือการประชาสัมพันธ์ตัวเขาเอง ความนิยมในตัวเขาสูงลิ่วเลย เราทุกคนถูกทำร้ายและเอารัดเอาเปรียบจากรัฐบาล สื่อมวลชน หรือแม้กระทั่งคนที่พาเราออกทริป ทุกคนได้ผลประโยชน์จากสิ่งที่ทำนอกจากตัวเรา ตอนที่เขาพาเราไปที่ดิสนีย์แลนด์หรือชมฟุตบอล นั่นไม่ใช่เวลาแห่งความสุข เราถูกนำไปโชว์ตัว ทุกคนได้หน้าเพราะการประชาสัมพันธ์แต่เราไม่ได้เงินแม้แต่จะมาซื้อข้าว" นายมาริโอ้ กล่าวปิดท้าย