คุณแม่ลูกสอง ลดน้ำหนัก 56 กิโลกรัม ใน 11 เดือน เผยเคยใช้วิธีการ กินเพื่อสนองอารมณ์ จนมาถึงจุดเปลี่ยนชีวิตจากเรื่องนิดเดียว
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เว็บไซต์ News.com.au เผยเรื่องราวของ แอชลีย์ ซาบล็อกกี คุณแม่ลูกสองวัย 28 ปี จากออสเตรเลีย เธอเผยว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับอาหารมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นทางสุขภาพร่างกายหรือจิตใจ ยิ่งเมื่อตอนที่เธออายุ 18 ปี ตอนที่เธอมีอิสระในการซื้ออาหารของตัวเองมากขึ้น ประกอบกับมีลูกคนแรก ยิ่งทำให้พฤติกรรมการกินของเธอแย่ลงกว่าเดิมมาก
"ฉันจะกินช็อกโกแลตอย่างน้อย 1 บล็อก กินขนมคบเคี้ยวทั้งวัน หรืออะไรก็ตามที่เด็กไม่ควรกิน ฉันก็จะกินหมด ฉันไม่กินมื้อเช้าและมื้อกลางวัน แต่จะไปกินมื้อเย็นมื้อใหญ่ทีเดียว ฉันใช้วิธีการกินอาหารเพื่อสนองอารมณ์ของฉัน และฉันไม่ได้ออกกำลังกายเลย ใช้การมีลูกเป็นข้ออ้าง แบบว่าเป็นแม่ที่ยุ่ง จึงไม่มีเวลาดูแลตัวเอง" แอชลีย์ กล่าว
แอชลีย์ เผยว่า เธอเคยมีน้ำหนักตัวมากถึง 121 กิโลกรัม จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนที่คาดไม่ถึง เมื่อแบรนด์ขนมชื่อดัง Cadbury เปิดตัวขนมคาราเมลชิ้นใหม่ เธอรีบซื้อมันมาจากร้านค้า แต่ปรากฏว่าลูกชายของเธอมาแย่งไป และหักมันออกเป็น 2 ท่อน ตอนนั้นเธอรู้สึกโกรธมาก เพราะรู้สึกว่าขนมชิ้นนั้นไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่จะให้เธอกิน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Ashley Zablocki
"ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่า ฉันมีความสัมพันธ์กับอาหารที่ไม่ดี ฉันกลับบ้านมาส่องกระจกแล้วพิจารณาดู ก่อนจะคิดได้ว่า ฉันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันต้องเปลี่ยนตัวเอง" แอชลีย์ กล่าว
นอกจากนี้ เธอยังนึกไปถึงพ่อของเธอที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวัย 57 ปี ส่วนแม่ของเธอก็มีปัญหาเรื่องหัวใจมาตลอดชีวิต และยังเป็นเบาหวานตอนตั้งครรภ์ ทำให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษจนเกือบทำให้ชีวิตของแม่ต้องจบลง หลังจากทบทวนเรื่องนี้อยู่หนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจว่าจะลดน้ำหนักอย่างจริงจัง
ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นออกกำลังกาย เธอได้ไปพบนักจิตวิทยาเพื่อจัดการกับสิ่งเร้าทางอารมณ์ต่าง ๆ จัดการวิธีการคิด และยังพบวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องความมั่นใจทางร่างกายของเธอด้วย
แอชลีย์ บอกสามีว่าเธออยากเริ่มเดินออกกำลังกาย แต่การออกไปเดินลำพังก็ค่อนข้างน่ากังวลสำหรับมือใหม่ เธอจึงซื้อเครื่องลู่วิ่งไฟฟ้าราคาย่อมเยามาใช้ เริ่มเดินได้ครั้งละ 10 นาที ทุกวัน แต่หลังจากนั้นต่อมา เธอก็ตระหนักได้ว่า ต่อให้เธอจะออกกำลังกายมากแต่ไหน แต่หากไม่ควบคุมการกินอาหารให้ดีขึ้น ก็ไม่มีทางลดน้ำหนักได้
แอชลีย์จึงเริ่มลดปริมาณมื้ออาหาร เริ่มกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ แทนการกินแต่ขนม แล้วกินแค่มื้อเย็นทีเดียวแบบเดิม ๆ นอกจากนี้เธอยังเปลี่ยนมาดื่มน้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล และดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น รวมถึงเริ่มการอดอาหารเป็นระยะ (Intermittent Fasting หรือ IF) อย่างไรก็ดี เธอไม่สามารถตัดสิ่งที่เธอชอบออกไปได้ นั่นก็คือของหวาน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Ashley Zablocki
แอชลีย์พยายามใช้วิธีของเธอเช่นนั้น
ประมาณ 3 สัปดาห์ เมื่อเธอชั่งน้ำหนักก็พบว่าลดลงไป 3 กิโลกรัม
เธอจึงมั่นใจเชื่อว่า เธอก็ทำได้เหมือนกัน จากนั้นเธอก็สังเกตว่า
เธอเริ่มเดินได้นานขึ้นมา 5 นาที เธอยังลองอะไรใหม่ ๆ
ด้วยการเรียนเต้นผ่านแอปฯ ออกกำลังกาย ซึ่งตอนแรกเหนื่อยมาก
แต่เมื่อทำไปเรื่อย ๆ ก็สามารถทำได้ทุกวัน ควบคู่ไปกับการวิ่งสัปดาห์ละ 2-3
ครั้ง เมื่อเธอไม่กดดัน จึงทำให้เธอรู้สึกสนุกไปกับมัน
หลังจากผ่านไป 11 เดือน ผลลัพธ์ปรากฏออกมาอย่างน่าทึ่ง แอชลีย์สามารถลดน้ำหนักไปได้มากถึง 56 กิโลกรัม จากคุณแม่ร่างท้วมกลายเป็นหุ่นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้น้ำหนักของเธอเหลือแค่ 65 กิโลกรัม
"ฉันรู้สึกดีมาก ฉันรู้สึกดีขึ้นมากทั้งกายและใจ ฉันลุกจากเตียงได้โดยที่ร่างกายไม่ปวดเมื่อย แถมยังไปเล่นของเล่นกับลูกสาวที่สนามเด็กเล่นได้ด้วย"
ปัจจุบัน นอกเหนือจากการวิ่งและการเต้น แอชลีย์ ยังเริ่มทำเวตเทรนนิ่ง เพราะเธออยากจะเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย แต่ใด ๆ ก็ตาม เธอยังไม่ได้ละทิ้งการกินอาหารที่เธอชอบ เธอยังคงเพลิดเพลินกับสิ่งนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเธอเชื่อว่ามันสามารถทำควบคู่กันไปได้
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ขอบคุณข้อมูลจาก news.com.au, New York Post
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เว็บไซต์ News.com.au เผยเรื่องราวของ แอชลีย์ ซาบล็อกกี คุณแม่ลูกสองวัย 28 ปี จากออสเตรเลีย เธอเผยว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับอาหารมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นทางสุขภาพร่างกายหรือจิตใจ ยิ่งเมื่อตอนที่เธออายุ 18 ปี ตอนที่เธอมีอิสระในการซื้ออาหารของตัวเองมากขึ้น ประกอบกับมีลูกคนแรก ยิ่งทำให้พฤติกรรมการกินของเธอแย่ลงกว่าเดิมมาก
"ฉันจะกินช็อกโกแลตอย่างน้อย 1 บล็อก กินขนมคบเคี้ยวทั้งวัน หรืออะไรก็ตามที่เด็กไม่ควรกิน ฉันก็จะกินหมด ฉันไม่กินมื้อเช้าและมื้อกลางวัน แต่จะไปกินมื้อเย็นมื้อใหญ่ทีเดียว ฉันใช้วิธีการกินอาหารเพื่อสนองอารมณ์ของฉัน และฉันไม่ได้ออกกำลังกายเลย ใช้การมีลูกเป็นข้ออ้าง แบบว่าเป็นแม่ที่ยุ่ง จึงไม่มีเวลาดูแลตัวเอง" แอชลีย์ กล่าว
แอชลีย์ เผยว่า เธอเคยมีน้ำหนักตัวมากถึง 121 กิโลกรัม จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนที่คาดไม่ถึง เมื่อแบรนด์ขนมชื่อดัง Cadbury เปิดตัวขนมคาราเมลชิ้นใหม่ เธอรีบซื้อมันมาจากร้านค้า แต่ปรากฏว่าลูกชายของเธอมาแย่งไป และหักมันออกเป็น 2 ท่อน ตอนนั้นเธอรู้สึกโกรธมาก เพราะรู้สึกว่าขนมชิ้นนั้นไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่จะให้เธอกิน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Ashley Zablocki
"ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่า ฉันมีความสัมพันธ์กับอาหารที่ไม่ดี ฉันกลับบ้านมาส่องกระจกแล้วพิจารณาดู ก่อนจะคิดได้ว่า ฉันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันต้องเปลี่ยนตัวเอง" แอชลีย์ กล่าว
นอกจากนี้ เธอยังนึกไปถึงพ่อของเธอที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวัย 57 ปี ส่วนแม่ของเธอก็มีปัญหาเรื่องหัวใจมาตลอดชีวิต และยังเป็นเบาหวานตอนตั้งครรภ์ ทำให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษจนเกือบทำให้ชีวิตของแม่ต้องจบลง หลังจากทบทวนเรื่องนี้อยู่หนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจว่าจะลดน้ำหนักอย่างจริงจัง
ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นออกกำลังกาย เธอได้ไปพบนักจิตวิทยาเพื่อจัดการกับสิ่งเร้าทางอารมณ์ต่าง ๆ จัดการวิธีการคิด และยังพบวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องความมั่นใจทางร่างกายของเธอด้วย
แอชลีย์ บอกสามีว่าเธออยากเริ่มเดินออกกำลังกาย แต่การออกไปเดินลำพังก็ค่อนข้างน่ากังวลสำหรับมือใหม่ เธอจึงซื้อเครื่องลู่วิ่งไฟฟ้าราคาย่อมเยามาใช้ เริ่มเดินได้ครั้งละ 10 นาที ทุกวัน แต่หลังจากนั้นต่อมา เธอก็ตระหนักได้ว่า ต่อให้เธอจะออกกำลังกายมากแต่ไหน แต่หากไม่ควบคุมการกินอาหารให้ดีขึ้น ก็ไม่มีทางลดน้ำหนักได้
แอชลีย์จึงเริ่มลดปริมาณมื้ออาหาร เริ่มกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ แทนการกินแต่ขนม แล้วกินแค่มื้อเย็นทีเดียวแบบเดิม ๆ นอกจากนี้เธอยังเปลี่ยนมาดื่มน้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล และดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น รวมถึงเริ่มการอดอาหารเป็นระยะ (Intermittent Fasting หรือ IF) อย่างไรก็ดี เธอไม่สามารถตัดสิ่งที่เธอชอบออกไปได้ นั่นก็คือของหวาน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Ashley Zablocki
หลังจากผ่านไป 11 เดือน ผลลัพธ์ปรากฏออกมาอย่างน่าทึ่ง แอชลีย์สามารถลดน้ำหนักไปได้มากถึง 56 กิโลกรัม จากคุณแม่ร่างท้วมกลายเป็นหุ่นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้น้ำหนักของเธอเหลือแค่ 65 กิโลกรัม
"ฉันรู้สึกดีมาก ฉันรู้สึกดีขึ้นมากทั้งกายและใจ ฉันลุกจากเตียงได้โดยที่ร่างกายไม่ปวดเมื่อย แถมยังไปเล่นของเล่นกับลูกสาวที่สนามเด็กเล่นได้ด้วย"
ปัจจุบัน นอกเหนือจากการวิ่งและการเต้น แอชลีย์ ยังเริ่มทำเวตเทรนนิ่ง เพราะเธออยากจะเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย แต่ใด ๆ ก็ตาม เธอยังไม่ได้ละทิ้งการกินอาหารที่เธอชอบ เธอยังคงเพลิดเพลินกับสิ่งนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเธอเชื่อว่ามันสามารถทำควบคู่กันไปได้
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ขอบคุณข้อมูลจาก news.com.au, New York Post