พ่อเรียกลูกชาย 3 คนมาพบ ตั้งใจแบ่งเงิน 7 ล้าน แต่ลูก ๆ ไม่ยอมรับเงินพ่อ เผยความต้องการเดียวที่เหมือนกัน พ่อได้ฟังสุดชื่นใจ
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
วันที่ 10 กันยายน 2567 เว็บไซต์ CAFEF รายงานเรื่องราวของ นายฮวา ชาวจีนจากมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งชาวบ้านมักมองบ้านของเขาเป็นครอบครัวตัวอย่าง โดยนายฮวามีลูกชายอยู่ 3 คน ทั้งหมดต่างแยกย้ายไปสร้างครอบครัวและประสบความสำเร็จในชีวิต ลูกชายคนโตเป็นรองผู้อำนวยการของบริษัท มีบ้านของตัวเองในเมือง ลูกชายคนรองทำธุรกิจวัสดุก่อสร้าง มีฐานะการเงินมั่นคง ขณะที่ลูกคนเล็กแม้จะมีอายุแค่ 25 ปี แต่ก็เปิดอู่ซ่อมรถที่ใหญ่สุดในเมืองได้
ลูกทุกคนล้วนได้ดีกันแล้ว นายฮวากับภรรยาจึงไม่ต้องกังวลอะไร แม้จะเข้าสู่วัยเกษียณแล้วแต่ลูก ๆ ก็ไม่ให้พวกเขาต้องลำบาก ยังให้ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่อีกเดือนละ 10,000 หยวน (ราว 47,000 บาท) แถมยังมักจะพาครอบครัวมาเยี่ยมพ่อแม่ทุกเดือน รวมถึงในฤดูร้อนที่เด็ก ๆ ปิดเทอมก็จะมาพักอยู่ที่บ้านพ่อแม่เป็นเวลานาน เพื่อสานความสัมพันธ์ในครอบครัว
จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา นายฮวาเผยว่าที่ดินเปล่า ๆ ของครอบครัวกำลังจะถูกเวนคืน โดยได้รับเงินชดเชย 1.5 ล้านหยวน (ราว 7.1 ล้านบาท) ซึ่งเมื่อพิจารณาจากวัยของตัวเอง นายฮวาจึงคิดจะแบ่งเงินนี้ให้ลูก ๆ เป็นมรดก แต่แทนที่เขาจะเขียนเป็นพินัยกรรมไว้ประกาศตอนถึงวาระสุดท้าย เขาตัดสินใจจะแจ้งเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ทราบทันที
ตอนแรกนายฮวาก็แอบกังวล เพราะในหมู่บ้านเคยมีลูก ๆ ที่ดูแลพ่อแม่อย่างดีเพื่อหวังเงิน แต่พอได้เงินกันไปแล้วก็เปลี่ยนไป แต่เขายังเชื่อมั่นใจตัวลูกชายทั้ง 3 คน และเรียกทุกคนมาประชุมครอบครัวร่วมกัน ซึ่งเมื่อลูกชายและสะใภ้ทั้งหมดมาอยู่กันพร้อมหน้า นายฮวาก็ประกาศจะแบ่งเงิน 1.5 ล้านหยวนนี้ ให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีลูกชายโดยตรงในวันนั้นเลย
แต่ไม่คิดว่าลูกทั้ง 3 คนต่างปฏิเสธไม่ยอมรับเงิน โดยลูกคนโตกล่าวเสียงดังว่า "พ่อครับ เราทั้ง 3 คนมีชีวิตที่มั่นคงแล้ว ไม่ต้องห่วงเราแล้ว สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือเห็นพ่อมีอายุยืนยาวและแข็งแรง พ่อเก็บเงินไว้ใช้ตอนอายุมากเถอะ"
ขณะที่ลูกคนรองเสริมว่า "ตอนนี้ธุรกิจผมไปได้ดี
ผมไม่ต้องการเงินของพ่อจริง ๆ เก็บไว้ใช้ตอนที่พ่อป่วยเถอะ
ไม่ต้องห่วงว่าถ้าพ่อไม่ให้เงินเราแล้วเราจะไม่เคารพพ่อ
เราไม่เคยคิดแบบนั้น"
เช่นเดียวกับลูกชายคนเล็กที่ไม่ขอรับเงิน เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้เห็นพ่อมีสุขภาพแข็งแรง ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับลูกหลาน อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ลูก ๆ ทั้ง 3 คนต้องการจากพ่อนั้นก็คือการรับพ่อแม่ไปอยู่ในเมืองด้วยกัน
โดยลูกชายคนโตคิดว่าพ่อแม่ควรจะย้ายมาใช้ชีวิตในเมืองกันได้แล้ว เขาจะได้ดูแลพวกท่านง่ายกว่าเดิม ส่วนลูกชายคนรองก็มองว่า งานของเขาไม่ได้กินเวลามากจนเกินไป เขายังมีเวลาอยู่กับพ่อแม่ที่แก่ชราได้ ทางด้านลูกคนเล็กก็คาดหวังว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ใกล้ ๆ พ่อแม่ จะได้แสดงความกตัญญูดูแลพวกท่าน
หลังจากได้ทราบความต้องการของลูก ๆ นายฮวาก็มีความสุขอย่างยิ่ง ที่ลูก ๆ นั้นรักและกตัญญูต่อเขาอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกลูกชายไม่รู้ก็คือจริง ๆ แล้วทรัพย์สินของนายฮวามีมากกว่าเงินก้อนนี้หลายเท่าตัว เป็นเพราะเขามีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทำเงินได้หลายล้านทุกปี แถมเขายังเอาเงินนั้นไปลงทุนเพิ่มเติมจนเงินยิ่งเติบโต แต่เขาก็ไม่เคยบอกลูก ๆ ให้รู้ว่าครอบครัวมีฐานะที่มั่งคั่ง นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูก ๆ ไม่เคยคาดหวังเงินจากพ่อ เพราะเชื่อว่าพ่อแม่ต้องทำงานหนักมากกว่าจะได้เงินมา
ขอบคุณข้อมูลจาก CAFEF
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
ลูกทุกคนล้วนได้ดีกันแล้ว นายฮวากับภรรยาจึงไม่ต้องกังวลอะไร แม้จะเข้าสู่วัยเกษียณแล้วแต่ลูก ๆ ก็ไม่ให้พวกเขาต้องลำบาก ยังให้ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่อีกเดือนละ 10,000 หยวน (ราว 47,000 บาท) แถมยังมักจะพาครอบครัวมาเยี่ยมพ่อแม่ทุกเดือน รวมถึงในฤดูร้อนที่เด็ก ๆ ปิดเทอมก็จะมาพักอยู่ที่บ้านพ่อแม่เป็นเวลานาน เพื่อสานความสัมพันธ์ในครอบครัว
จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา นายฮวาเผยว่าที่ดินเปล่า ๆ ของครอบครัวกำลังจะถูกเวนคืน โดยได้รับเงินชดเชย 1.5 ล้านหยวน (ราว 7.1 ล้านบาท) ซึ่งเมื่อพิจารณาจากวัยของตัวเอง นายฮวาจึงคิดจะแบ่งเงินนี้ให้ลูก ๆ เป็นมรดก แต่แทนที่เขาจะเขียนเป็นพินัยกรรมไว้ประกาศตอนถึงวาระสุดท้าย เขาตัดสินใจจะแจ้งเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ทราบทันที
ตอนแรกนายฮวาก็แอบกังวล เพราะในหมู่บ้านเคยมีลูก ๆ ที่ดูแลพ่อแม่อย่างดีเพื่อหวังเงิน แต่พอได้เงินกันไปแล้วก็เปลี่ยนไป แต่เขายังเชื่อมั่นใจตัวลูกชายทั้ง 3 คน และเรียกทุกคนมาประชุมครอบครัวร่วมกัน ซึ่งเมื่อลูกชายและสะใภ้ทั้งหมดมาอยู่กันพร้อมหน้า นายฮวาก็ประกาศจะแบ่งเงิน 1.5 ล้านหยวนนี้ ให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีลูกชายโดยตรงในวันนั้นเลย
แต่ไม่คิดว่าลูกทั้ง 3 คนต่างปฏิเสธไม่ยอมรับเงิน โดยลูกคนโตกล่าวเสียงดังว่า "พ่อครับ เราทั้ง 3 คนมีชีวิตที่มั่นคงแล้ว ไม่ต้องห่วงเราแล้ว สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือเห็นพ่อมีอายุยืนยาวและแข็งแรง พ่อเก็บเงินไว้ใช้ตอนอายุมากเถอะ"
เช่นเดียวกับลูกชายคนเล็กที่ไม่ขอรับเงิน เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้เห็นพ่อมีสุขภาพแข็งแรง ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับลูกหลาน อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ลูก ๆ ทั้ง 3 คนต้องการจากพ่อนั้นก็คือการรับพ่อแม่ไปอยู่ในเมืองด้วยกัน
โดยลูกชายคนโตคิดว่าพ่อแม่ควรจะย้ายมาใช้ชีวิตในเมืองกันได้แล้ว เขาจะได้ดูแลพวกท่านง่ายกว่าเดิม ส่วนลูกชายคนรองก็มองว่า งานของเขาไม่ได้กินเวลามากจนเกินไป เขายังมีเวลาอยู่กับพ่อแม่ที่แก่ชราได้ ทางด้านลูกคนเล็กก็คาดหวังว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ใกล้ ๆ พ่อแม่ จะได้แสดงความกตัญญูดูแลพวกท่าน
หลังจากได้ทราบความต้องการของลูก ๆ นายฮวาก็มีความสุขอย่างยิ่ง ที่ลูก ๆ นั้นรักและกตัญญูต่อเขาอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกลูกชายไม่รู้ก็คือจริง ๆ แล้วทรัพย์สินของนายฮวามีมากกว่าเงินก้อนนี้หลายเท่าตัว เป็นเพราะเขามีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทำเงินได้หลายล้านทุกปี แถมเขายังเอาเงินนั้นไปลงทุนเพิ่มเติมจนเงินยิ่งเติบโต แต่เขาก็ไม่เคยบอกลูก ๆ ให้รู้ว่าครอบครัวมีฐานะที่มั่งคั่ง นั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูก ๆ ไม่เคยคาดหวังเงินจากพ่อ เพราะเชื่อว่าพ่อแม่ต้องทำงานหนักมากกว่าจะได้เงินมา
ขอบคุณข้อมูลจาก CAFEF