ใครๆ ก็ว่าผมบ้า... จา พนม ยันใช้ปัญญานำ

จา พนม ยีรัมย์ 
องค์บาก2



          จากเด็กสตั๊นต์ สู่พระเอกนักบู๊ร้อยล้าน ล่าสุด ได้อยู่เบื้องหลังงานหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง "องค์บาก 2" ในตำแหน่งผู้กำกับการแสดงและนักแสดงนำ สำหรับ "จา-พนม ยีรัมย์" หรือที่วงการฮอลลีวู้ดรู้จักเขาดีในชื่อ "โทนี่ จา" 

          กว่าจะถึงฝัน มาถึงหนัง "องค์บาก 2" หนังที่เขาทุ่มเททั้งชีวิต เขาต้องฝ่ามรสุมปัญหาลูกแล้วลูกเล่า แต่ด้วยความมานะ พยายาม ... แล้วฝันของผู้ชายที่ชื่อ "จา" ก็เป็นจริง


ก่อนหน้านี้เคยคิดมั้ยว่าจะได้มากำกับหนัง?

          จา : ก่อนหน้านี้มีความฝันอยู่แล้ว เราเล่นหนังก็อยากทำหนังที่เกิดจากภาพของเรา จากประสบการณ์ที่ผมไปต่างประเทศ ไปฮ่องกง ญี่ปุ่น เขาไม่เรียนกังฟู ยูโด แต่เขามาเรียนมวยไทย ก็เลยมีความคิดอยากทำหนังที่รวบรวมศิลปะการต่อสู้

เตรียมตัวไว้ก่อนหน้านี้หรือเปล่าว่าจะเป็นผู้กำกับ?

          จา : เตรียมตัวแล้ว ผมไปศึกษาข้อมูล รู้จักครูเช่นมวยจีน คาราเต้ มวยไทย ครูแอ๋ว(อรชุมา ยุทธวงศ์) สอนแอ๊กติ้ง แล้วศึกษาเรื่องภาพกับน้ากล้วย(ณัฐวุฒิ กิตติคุณ) ศึกษาเรื่องโขนนาฏศิลป์เพื่อจะนำมาผสมกับศิลปะการต่อสู้

ทำไมจึงคิดว่าจะนำโขน นาฏศิลป์ มาผสมกับศิลปะการต่อสู้?

          จา : เราหารูปแบบการต่อสู้ใหม่ หนึ่งเราได้โจทย์แล้ว คือการรวมศิลปะการต่อสู้ในตัวคนเดียว สองหาเอกลักษณ์ของตัวเองคือภาคดำ แล้วก็ศึกษาเรื่องโขน ไปดูศิลปะของขอม ไปดูโขน แล้วมาศึกษากับครูมวย ครูมวยก็บอกว่าเป็นท่าเดียวกัน

ทุกอย่างมาจากพื้นฐานเดียวกัน?

          จา : ใช่ แต่มันจะแตกแขนงไป อยู่ที่เราเปลี่ยนรูปลักษณ์ ผมคิดค้นขึ้นมาใหม่ก็จะเป็นสไตล์ของผม ผมเอาเรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ผมไปศึกษา เรื่องสมาธิ ที่เขาว่าผมบ้า ผมไปศึกษามาหมด ศึกษาให้ถึงแก่น เพราะผมต้องเชื่อก่อน แล้วมันถึงจุด เพราะผมจะเอามาผนวกกันเป็นนาฏยุทธ์ คือการเอานาฏศิลป์มาผสมกับการต่อสู้ ก็คือศิลปะโขนแล้วบวกกับเรื่องสมาธิ

นอกจากสมาธิแล้วไปฝึกอะไรบ้าง ?

          จา : ไปฝึกธาตุ คือการจ่ายไฟ การรวบรวมธาตุทั้งสี่ในร่างกาย มีธาตุไฟ ลม ดิน น้ำ ในการเล่นผมไม่มีเจ็บเลย พอลงไปศึกษาแล้วก็จะมีการเล่าว่า เหมือนเป็นดาบสองคม ถ้านำไปใช้ในทางที่ถูกก็จะเป็นคุณ

แต่การไปเรียนหลายๆ อย่าง ไปเข้าถ้ำจนถูกหาว่าเป็นบ้า?

          จา : ผมไปปกติอยู่แล้ว ไปกองถ่าย ก็อยู่กับสตั๊นต์นั่นแหละ นอนกางเต็นท์กันอยู่ในป่า เพราะระยะทางจากรีสอร์ตมันไกล เลยใช้ชีวิตอยู่นั่นก็อยู่ตามถ้ำ และการได้ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ในฉาก มันทำให้เกิดพลังขึ้นมาทางหนึ่ง

ถ้าอย่างนั้นซีเรียสมั้ย ที่ใครๆ ว่าจาบ้าไปแล้ว ไปเข้าวัด ไปโน่นไปนี่?

          จา : ตอนแรกซีเรียส แต่เรามองว่าเขาน่าจะไม่เข้าใจ คนไม่เข้าใจสถานภาพของผม หนึ่ง..ชีวิตจาต้องอยู่สูงมาก จะไปทำตัวซกมก จะไปบ้างมงาย แต่หารู้ไม่ ผมติดดินได้ ภาพผมมันหลากหลาย ทั้งโทนี่ จา และรับบทบาทใหม่เป็นผู้กำกับ หรือจา พนม ไอ้จา ก็เลยมองนานาจิตตัง แต่เราเข้าใจตัวเองว่า ทำอะไรอยู่เท่านั้นพอ

แล้วใช้วิธีแบบไหนถึงกลับคืนมาว่า ตัวเองรู้อยู่ว่าจิตตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?

          จา : ผมก็นึกไปถึงรากว่า เฮ้ย..เรามาไม่มีอะไร มาแบบเด็กดูหนังกลางแปลง เสื่อผืนหมอนใบ หิ้วกระเป๋ามาตามหาความฝัน เราจะทิ้งฝันเหรอ เรามองไปที่รากเดิมๆ ของเรา แล้วเริ่มฉีดวัคซีนเข้าร่างกายตัวเอง สร้างภูมิคุ้มกัน ลืมมันไปทั้งหมด

คนเริ่มเข้าใจมั้ย ผู้ใหญ่ที่เคยมีปัญหากัน เริ่มเข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า?

          จา : เริ่มเข้าใจครับ เพราะผมเป็นคนทำจริง ทำให้รู้ ถ้าทำหนังเรื่องหนึ่ง ทำไมผมต้องเสี่ยงตาย คนอื่นหาว่าผมบ้า เราสร้างศิลปะขึ้นมา เรานึกถึงคนดู ถ้าเราไม่เล่นไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา เราต้องเล่น พอเราทำได้ มีความสุข เป็นการวัดตัวเองด้วย อย่างฉากที่เล่นกับช้าง ที่ผมวิ่งเหยียบหน้า เป็นการวัดใจช้างเลยล่ะ


จา พนม ยีรัมย์



ถึงเวลานั้นคิดอะไรอยู่?

          จา : ถึงเวลานั้นคือสมาธิ อันนี้ต้องจูนกันระหว่างช้างด้วย ปู่ย่าตายายสอนให้คลุกคลีกับเขา เอากล้วยป้อน จับให้เขารู้กลิ่น มันเป็นสิ่งที่แปลก ปกติถ้าช้างงามารวมตัวกันยี่สิบสามสิบเชือก ชนกันแน่นอน แต่ไม่มีเลย เชื่องมาก มันไม่น่าเกิดขึ้น พอทำได้เราก็มีความสุข แต่ถ้าอันไหนที่ยากเกิน เสี่ยง ไม่น่าเป็นไปได้ เราก็เลือกที่จะไม่เล่น เราใช้ปัญญา ไม่ได้ใช้ความบ้าในการที่จะเล่น

คิดอย่างไร ที่หลายคนรอทั้งอยากชม อยากสมน้ำหน้า หรืออื่นๆ?

          จา : ผมเตรียมรับมืออยู่แล้ว รับได้ทั้งชม ด่า เย้ยหยัน

อะไรทำให้ผ่านมาได้จนทุกวันนี้?

          จา : น่าจะเกิดจากความศรัทธาของเรากับงานที่เราทำ เพราะหนังเป็นสิ่งที่เราชอบมาตั้งแต่เด็ก ณ เวลานี้เราได้ทำออกมาสำเร็จแล้ว และให้บทเรียนกับผมมาก มาย การทำงานในคนทั้งระดับล่าง ระดับบน ผมได้บทเรียนในการใช้ชีวิตในสังคม รู้ว่าชื่อเสียงมันเป็นดาบ 2 คม อยู่ที่ว่าเราจะทำและปฏิบัติตัวยังไง

จากนี้ไปจะวางแผนชีวิตอย่างไรกับตัวเอง?

          จา : ผมก็จะทำองค์บาก 3 ตอนนี้เตรียมไว้แล้ว ปลายปีหน้าถ่ายต่อได้เลย


จา พนม ยีรัมย์ - ตั๊ก บงกช คงมาลัย



มุงานไม่พร้อมมีรัก

          จา : ช่วงหลังๆ ผมมุ่งมั่นกับการทำงานมาก อีกอย่างหนังเรื่อง "องค์บาก2" เป็นหนังเรื่องแรกของผมที่ผมลงกำกับฯ ผมจึงตั้งใจที่จะทำออกมาให้ดีที่สุด วันๆ ก็อยู่แต่ในกองถ่าย อยู่กับสตั๊นต์ ทำงาน ทำงาน ทำงาน กลางคืนไม่ได้ทำงานก็นอน ตื่นขึ้นมาถ้าไม่ถ่ายผมก็ซ้อม หรืออย่างบางทีหนังเข้าก็จะต้องเดินสายไปโชว์ตัว ทั้งในและต่างประเทศ แทบจะไม่มีเวลาอยู่บ้าน ถ้าใครเป็นแฟนผมเขาจะทนได้หรือ เรื่องความรักก็เลยต้องตัดทิ้งไปก่อนครับ

มุมมองความรัก ของ จา 

          จา : สำหรับมุมมองความรักของผม ก็อยากจะได้คนที่เข้าใจผม ไม่มีการตั้งสเป๊กไว้ แค่เข้าใจเรา ชอบในแบบเดียวกัน ผมว่าก็โอเคแล้ว ส่วนความรักในอนาคต ก็อยากจะแต่งงานมีลูกมีเต้ากับเขาเหมือนกัน แต่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ เวลาไหน อันนี้ผมยังบอกไม่ได้จริงๆ เพราะแค่แฟน ผมยังไม่มี ด้วยว่าส่วนตัวผมเป็นคนเงียบๆ เก็บตัวและก็ค่อนข้างจะขี้อายด้วยซ้ำ

แล้วกับสาวอึ๋มผ่าซาก "ตั๊ก-บงกช คงมาลัย" ที่ออกมาชื่นชมว่า จาเป็นคนที่อบอุ่นล่ะ 

          จา : กับตั๊ก เราเองก็เป็นพี่น้องกัน รู้จักกันก็เพราะว่าทำงานด้วยกันตอนเล่นหนังเรื่อง "ต้มยำกุ้ง" และก็อยู่บริษัทเดียวกัน ไม่มีอะไรจริงๆ ส่วนเรื่องที่ตั๊กบอกว่าผมเป็นคนอบอุ่น ก็ขอบคุณน้องเขาที่มองเราเป็นคนแบบนั้น กับน้องเขาก็ไม่ได้คุยกันบ่อย เพราะว่าไม่ได้ทำงานด้วยกันแล้ว เรื่องเป็นแฟนกันก็คงเป็นไปไม่ได้ครับ

          แหม...ของอย่างนี้มันก็ไม่แน่หรอกนะนาย


จา พนม ยีรัมย์
จา พนม ยีรัมย์



ชื่อเล่น - จา
ชื่อนามสกุล - พนม ยีรัมย์
วัน/เดือน/ปีเกิด - 5 ก.พ.2519
พี่น้อง - 4 คน
การศึกษา - ประถมฯร.ร.บ้านอำปึล จ.สุรินทร์ มัธยมฯต้น ร.ร.โคกกลางวิทยา มัธยมฯปลาย ร.ร.ประสาทวิทยาคาม อุดมศึกษา วิทยาลัยพลศึกษา จ.มหาสารคาม



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

คอลัมน์ คุยกับดาว / เรื่องโดย สมรัก บรรลังก์

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ใครๆ ก็ว่าผมบ้า... จา พนม ยันใช้ปัญญานำ อัปเดตล่าสุด 7 ธันวาคม 2551 เวลา 16:00:59 12,913 อ่าน
TOP
x close