สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก มติชนออนไลน์
เมื่อวานนี้ (27 มิถุนายน) นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ 10 กรมควบคุมโรค กล่าวถึงผู้ป่วยคนไทย ที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่เสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย ว่า รายแรกเป็นเพศหญิงอายุ 40 ปี มีโรคประจำตัว คือ หัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด เคยผ่าตัดเมื่ออายุ 12 ปี เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน หลังจากนั้น 7 วัน เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง วันที่ 14 มิถุนายน ด้วยอาการไข้สูง หอบ เหนื่อย เอ็กซเรย์พบปอดบวม แพทย์ให้ยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ จบครบชุดการรักษา 5 วันต่อมาถึงวันที่ 19 มิถุนายน และในวันที่ 20 มิถุนายน ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงและเสียชีวิต
ส่วนผู้เสียชีวิตรายที่ 2 เป็นชาย อายุ 42 ปี กลับจากโรมาเนีย เวียนนา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน และได้ไปเที่ยวในผับแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี จากนั้นเริ่มป่วยวันที่ 18 มิถุนายน มีอาการไข้ มีน้ำมูก ไอเล็กน้อย และไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.ศรีราชา ครั้งแรกวันที่ 19 มิถุนายน แต่ไม่ได้พักรักษาในโรงพยาบาล จากนั้นกลับมาพบแพทย์อีกครั้ง วันที่ 23 มิถุนายน ด้วยอาการไข้สูง เหนื่อยมาก ไอเป็นเลือด มีภาวะปอดบวม แพทย์ให้ยาต้านไวรัส ต่อมาวันที่ 26 มิถุนายน ผู้ป่วยอาการทรุดลง หัวใจหยุดเต้น แพทย์ช่วยชีวิตปั๊มหัวใจขึ้นมา จากนั้นทรุดลงและเสียชีวิต เวลา 09.00 น. ของวันที่ 27 มิถุนายน รายดังกล่าวไม่มีโรคประจำตัวหรือการใช้ยาอะไรเป็นประจำ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตามสถิติคนที่แข็งแรงจะมีความเสี่ยงเสียชีวิตประมาณร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับผู้มีโรคประจำตัวซึ่งจะเสี่ยงร้อยละ 90
ทั้งนี้ นพ.คำนวณ กล่าวว่า สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยทั้งสองราย มีอาการปอดบวมแทรกซ้อน แต่ไม่ทราบว่ามีโรคแทรกซ้อนอื่น เช่น ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำหรือไม่ ซึ่งต้องใช้วิธีการชันสูตรถึงจะทราบการเสียชีวิตที่แน่ชัด แต่ทั้งสองรายญาติไม่อนุญาตให้ทำการชันสูตร โดยในที่ประชุมไม่มีการตำหนิตัวแทนจากโรงพยาบาลเอกชน ในกรณีที่แจ้งให้สาธารณะสุขทราบช้า เนื่องจากโรงพยาบาลมีเหตุผลที่ญาติขอร้อง
ขณะที่ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาโรคไข้หวัดใหญ่ กล่าวว่า นอกจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องโรคประจำตัว ที่ทำให้เสียชีวิต ก็ยังมีเรื่องการรักษาไม่ถูกต้อง หรือมีการติดเชื้อซ้ำ ก็ยิ่งทำให้มีโอกาสเสียชีวิตสูงมากขึ้น จนถึงขณะนี้ ถือว่าอัตราการเสียชีวิตของประเทศไทย อยู่ที่ร้อยละ 0.2 เท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
