เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
สืบเนื่องจากกรณีที่ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะไม่มีการต่อสัญญากับ โค้ชแต๊ก อรรถพล ปุษปาคม กุนซือของทีม หลังจากที่จะหมดสัญญาภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวอาจทำให้คอบอลไทยหลาย ๆ คน มีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป บางคนอาจรู้สึกผิดหวัง เพราะประวัติโค้ชแต๊ก อรรถพล ถือว่ามีผลงานโดดเด่นพอตัวเลยทีเดียว นับตั้งแต่ในอดีตที่เคยเป็นนักเตะฝีเท้าดีกระทั่งได้ผันตัวมาเป็นโค้ชและที่ปรึกษาให้กับสโมสรต่าง ๆ
นายอรรถพล ปุษปาคม หรือที่เรียกกันติดปาก โค้ชแต๊ก เกิดวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2505 เริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพ ตั้งแต่วัย 23 ปี โดยเริ่มเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทย ในปี พ.ศ. 2528 ด้วยตำแหน่งผู้เล่นกองกลาง ทั้งนี้ นายอรรถพล เก่งในด้านการรุกริมเส้นด้านขวา โดยในฤดูกาลแรกเขาได้สร้างชื่อด้วยการทำประตูไป 7 ประตู จากการลงแข่ง 23 นัด ซึ่งถือว่าเป็นผู้เล่นกองกลางที่ทำประตูได้มากที่สุดของสโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทย
นอกจากนี้ เขายังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งลูกให้เพื่อน ๆ ทำประตู จนทำให้สโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทยคว้าแชมป์ ในปี พ.ศ. 2528 และ พ.ศ. 2533 กระทั่งในปัจจุบันเขาก็ยังเป็นผู้เล่นกองกลางที่ครองสถิติการทำประตูเร็วที่สุดของสโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทยอีกด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 นายอรรถพล บุษปาคม ได้เซ็นสัญญากับ สโมสรฟุตบอลปะหัง ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลชื่อดังใน ประเทศมาเลเซีย โดยเขาได้รับตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงเป็นบางครั้ง เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า ทำให้ต้องพักการเล่นฟุตบอลไปเกือบ 2 เดือน แต่ในที่สุดก็สามารถกลับมาเล่นให้กับทีมต่อได้ในช่วงฤดูกาลหลัง คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 - 2533 จากนั้นเขาได้ตัดสินใจกลับไปเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทยอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2534
ซึ่งการกลับมาร่วมทีมของเขาในฤดูกาลนี้ ทำให้เขาได้ลงเล่นในฐานะผู้เล่นตัวจริงถึง 30 นัด และทำประตูได้ 10 ประตู แต่ไม่สามารถช่วยให้การท่าเรือไทยคว้าแชมป์ในปี พ.ศ. 2533 - 2534 ได้ จากนั้นในช่วง พ.ศ. 2534 - 2535 นายอรรถพล ได้ลงเล่นตัวจริงเกือบทุกนัด โดยลงเล่นไป 32 นัดจาก 35 เกม แต่ทำประตูไปได้แค่ 6 ประตู เพราะในช่วงนั้นการท่าเรือไทยได้กองหน้าตัวเก่งมาหลายคน จึงเลยไม่ค่อยได้มีโอกาสเติมเกมรุกมากเท่าไร แต่เขาก็สามารถนำทีมคว้าแชมป์ได้ในปี พ.ศ. 2535 - 2536 และ พ.ศ. 2536 - 2537 จากนั้นเขาไม่ค่อยได้ลงเล่นเป็นตัวจริงมากนัก เพราะอาการบาดเจ็บและความเร็วที่เริ่มตกลง ด้วยวัย 31 ปี ดังนั้น จึงได้ลงเล่นเพียง 25 นัด ทำประตูได้ 4 ประตู และในปี พ.ศ. 2536 - 2537 ได้ลงเล่นเพียง 27 นัด ทำผลงานได้ 1 ประตู ก่อนที่เขาจะตัดสินใจย้ายไปอยู่กับสโมสรฟุตบอลตลาดหลักทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2539
อย่างไรก็ตาม แม้จะย้ายไปอยู่สโมสรฟุตบอลแห่งใหม่ แต่อรรถพล บุษปาคม ในวัย 34 ปี ก็ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงเท่าใดนัก เนื่องจากวัยและสภาพของร่างกาย โดยได้ลงเล่นเพียง 49 นัด ทำประตูได้ 5 ประตู กระทั่งเขาได้ตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดในปี พ.ศ. 2541
ผลงานสมัยผู้เล่น 
การท่าเรือไทยพ.ศ. 2528 และ พ.ศ. 2533 คว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ถ้วย ก
ปะหัง เอฟซีพ.ศ. 2538 คว้าแชมป์มาเลเซียซุปเปอร์ลีก
พ.ศ. 2537 และ พ.ศ. 2538 คว้ารองแชมป์มาเลเซียคัพ
พ.ศ. 2538 คว้ารองแชมป์มาเลเซียเอฟเอคัพ
พ.ศ. 2538 คว้ารองแชมป์มาเลเซียแชร์ริตีชิลด์
ผลงานสมัยผู้จัดการทีม บีอีซี เทโรศาสนพ.ศ. 2545-2546 คว้ารองแชมป์อเอฟซีแชมเปียนส์ลีก
พ.ศ. 2545-2546 คว้ารองแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก
พ.ศ. 2545-2546 คว้ารองแชมป์ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก
ธนาคารกรุงไทยพ.ศ. 2549-2550 คว้ารองแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก
เมืองทอง ยูไนเต็ดพ.ศ. 2552-2553 คว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดพ.ศ. 2553-2554 คว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก
พ.ศ. 2554 คว้ารองแชมป์ไทยลีกคัพ
พ.ศ. 2554 คว้าแชมป์ไทยเอฟเอคัพ
พ.ศ. 2555 คว้าแชมป์ไทยเอฟเอคัพ
พ.ศ. 2555 คว้าแชมป์ไทยลีกคัพ
พ.ศ. 2556 คว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยพระราชทานประเภท ก.
จากรางวัลทั้งหมดที่ได้รับ ไม่ว่าจะในฐานะผู้เล่นหรือผู้คุมทีม ก็เห็นได้ชัดว่า โค้ชแต๊ก หรือ นายอรรถพล ถือเป็นบุคคลหนึ่งที่มีผลงานค่อนข้างโดดเด่นในวงการฟุตบอลไทย ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมเขาจึงได้รับการยกย่องจากแฟนบอลทีมชาติไทยว่า เป็นหนึ่งในโค้ชหรือผู้ฝึกสอนฟุตบอลชาวไทยที่มีฝีไม้ลายมือยอดเยี่ยมเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย และจากนี้คงต้องติดตามกันว่า หลังจากสิ้นสุดสัญญากับสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แล้ว โค้ชแต๊กจะไปเป็นผู้ฝึกสอนให้กับสโมสรใดต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
