เปิดคลิปหนุ่มทดลองกินลำไย-ยาแก้ไอ ก่อนเป่าวัดแอลกอฮอล์ พบพุ่งสูงเกินกฎหมายกำหนด ด้าน อ.เจษฎา เผยเป็นได้จริง แต่ไม่เมาหรือเข้าเลือดเหมือนเหล้า แนะกินน้ำก็หาย - ตำรวจไม่จับ
ทั้งนี้ รายละเอียดกฎหมายของการตรวจวัดแอลกอฮอล์ คือ ห้ามผู้ขับขี่รถทุกประเภท ยกเว้นรถรางและรถไฟ เมาสุราในขณะขับรถ ซึ่งความหมายของอาการเมาสุรา คือ มีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่การกินลำไยนั้นแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ถึง 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แน่นอน ไม่ว่าจะกินมากแค่ไหนก็ตาม
ขณะที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดเผยถึงเรื่องนี้เช่นกัน ระบุว่า การตรวจจับแอลกอฮอล์นั้น มีหลายปัจจัยที่สังเกต ไม่ใช่ดูแค่ปริมาณแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ต้องดูพฤติกรรมขณะนั้นด้วยว่ามีอาการเมาหรือไม่ มีกลิ่นสุราหรือไม่ เพราะถ้าแค่กินลำไยคงไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
สืบเนื่องจาก เฟซบุ๊ก Non Ta Nan ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอการทดลองกินลำไยและยาแก้ไอ เพื่อพิสูจน์การเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ พบว่า หลังกินลำไย 7 ลูก ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ขึ้นถึง 70 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และหลังกินยาแก้ไอ พบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด พุ่งสูงขึ้นกว่า 300 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
เกี่ยวกับเรื่องนี้ (10 สิงหาคม 2561) รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง Amarin TV รายงานบทสัมภาษณ์ รศ. ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ผลไม้ที่มีรสหวาน ฉ่ำน้ำ อาทิ ลำไย ลิ้นจี่ เงาะ หรือสับปะรด นั้น ถ้าหากตัดออกจากต้นแล้วนำมาเก็บไว้ จะทำให้มีปฏิกิริยามีแอลกอฮอล์เกิดขึ้นมาได้ แต่ไม่มาก ซึ่งวิธีแก้ไขเมื่อกินลำไยเข้าไปแล้ว ให้ดื่มน้ำตาม 4-5 นาที แอลกอฮอล์ก็จะหายไป เพราะการกินลำไย แอลกอฮอล์ไม่ได้อยู่ในเส้นเลือดเหมือนกับการดื่มสุรา
ภาพจาก รายการทุบโต๊ะข่าว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Non Ta Nan
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก