อึ้งน้ำดื่มยี่ห้อดัง เผยสรรพคุณการทำน้ำให้มีคุณภาพ เปิดเพลงคลาสสิกให้ฟังช่วยได้ คนร้องห๊ะเลย งานนี้มีคนมาบอกว่า มันช่วยได้จริง ก่อนเจอตบด้วยข้อมูลจาก อ.เจษฎา
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ผู้บริโภค
เทรนด์การกินอาหารและเครื่องดื่มในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่า เรื่องการรักษาสุขภาพนั้นมาแรงมาก หลายคนจึงเลือกดื่มเลือกกินอะไรที่เป็นประโยชน์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง
วันที่ 17 กรกฎาคม 2565 เฟซบุ๊ก ผู้บริโภค มีการเปิดเผยสรรพคุณเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งที่ติดอยู่บนสลาก แต่อ่านชวนแล้วเอ๊ะจริง ๆ และทำให้เรื่องนี้กลายเป็นไวรัลดังแชร์กว่า 1,800 ครั้ง ทั้งที่โพสต์ไม่ถึง 1 วัน โดยสรรพคุณต่าง ๆ มีดังนี้
- ผลิตจากแหล่งน้ำธรรมชาติใต้ดิน
- ผ่านวิธีการกรองระบบรีเวิร์สออสโมซิส
- เพิ่มความมั่นใจด้วยระบบโอโซน
- ผ่านเทคโนโลยีการแอคทิเวทจัดเรียงโมเลกุลน้ำให้เป็นระเบียบ
แต่ที่พีคที่สุดคือข้อสุดท้าย "เพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีด้วยการบรรเลงเพลงคลาสสิกให้ฟัง"
เจอสรรพคุณข้อนี้เข้าไปอ่านแล้วเอ๊ะจริง ๆ การเปิดเพลงคลาสสิกช่วยให้คุณภาพน้ำดีขึ้นยังไง ถ้าหากของที่ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิตมันอาจจะเกี่ยวกัน แต่นี่ไม่เกี่ยวแน่นอน
อย่างไรก็ตาม มีความเห็นอีกส่วนแย้งว่า เกี่ยวกันสิ เพราะเคยมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์มาแล้วด้วยการส่องโมเลกุลน้ำ ที่มีการฟังเพลงหรือพูดด้วยน้ำเสียงดี ๆ ผลคือ โมเลกุลน้ำจะสวยมาก ๆ แม้จะฟังเหมือนตลก แต่ผลวิจัยน่าทึ่งจริง ๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเห็นดังกล่าว ถูกตอกกลับด้วยโพสต์จากเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ ของนายเจษฎา เด่นดวงบริพันธุ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า แนวคิดเรื่องความคิดของคน มีผลต่อน้ำ เช่น ถ้าพูดดี ๆ กับน้ำ จะมีผลึกที่สวยงามกว่าการพูดร้าย ๆ กับน้ำ ถือว่าเป็นเรื่อง pseudo science วิทยาศาสตร์ปลอม ที่ไม่ได้น่าเชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง
เรื่องนี้เริ่มต้นจากการทดลองชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ ดร.มาซารุ เอโมโตะ ที่บอกว่า หากเอาน้ำใส่ขวดแล้วเขียนคำต่างกัน เช่น รัก เกลียด แล้วเอาผลึกน้ำแข็งในแต่ละขวดไปส่องกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่าผลึกสวยงามต่างกัน แต่ว่า ดร.เอโมโตะคนนี้ ก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ จบจากสถาบันการศึกษาที่ไม่น่าเชื่อถือ
ส่วนผลการทดลองอันนั้น คนในวงการวิทยาศาสตร์วิจารณ์กันว่า ไม่มีการควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ที่เพียงพอ แถมบอกวิธีทดลองที่ไม่ใช่เจน ช่องโหว่สำคัญคือ การตีความผลการทดลองเองตามใจชอบ เช่น ผลึกไหนสวย ไม่สวย ขึ้นอยู่กับความรู้สึกตัวเอง และงานทดลองนี้ก็ไม่ได้อยู่ในวารสารวิชาการที่ไหนด้วย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ผู้บริโภค
เทรนด์การกินอาหารและเครื่องดื่มในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่า เรื่องการรักษาสุขภาพนั้นมาแรงมาก หลายคนจึงเลือกดื่มเลือกกินอะไรที่เป็นประโยชน์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง
วันที่ 17 กรกฎาคม 2565 เฟซบุ๊ก ผู้บริโภค มีการเปิดเผยสรรพคุณเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งที่ติดอยู่บนสลาก แต่อ่านชวนแล้วเอ๊ะจริง ๆ และทำให้เรื่องนี้กลายเป็นไวรัลดังแชร์กว่า 1,800 ครั้ง ทั้งที่โพสต์ไม่ถึง 1 วัน โดยสรรพคุณต่าง ๆ มีดังนี้
- ผลิตจากแหล่งน้ำธรรมชาติใต้ดิน
- ผ่านวิธีการกรองระบบรีเวิร์สออสโมซิส
- เพิ่มความมั่นใจด้วยระบบโอโซน
- ผ่านเทคโนโลยีการแอคทิเวทจัดเรียงโมเลกุลน้ำให้เป็นระเบียบ
แต่ที่พีคที่สุดคือข้อสุดท้าย "เพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีด้วยการบรรเลงเพลงคลาสสิกให้ฟัง"
เจอสรรพคุณข้อนี้เข้าไปอ่านแล้วเอ๊ะจริง ๆ การเปิดเพลงคลาสสิกช่วยให้คุณภาพน้ำดีขึ้นยังไง ถ้าหากของที่ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิตมันอาจจะเกี่ยวกัน แต่นี่ไม่เกี่ยวแน่นอน
มีคนแย้งว่า เปิดเพลงคลาสสิกช่วยให้น้ำมีคุณภาพจริง แต่เจอคนแย้งตบหน้าทันควัน
อย่างไรก็ตาม มีความเห็นอีกส่วนแย้งว่า เกี่ยวกันสิ เพราะเคยมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์มาแล้วด้วยการส่องโมเลกุลน้ำ ที่มีการฟังเพลงหรือพูดด้วยน้ำเสียงดี ๆ ผลคือ โมเลกุลน้ำจะสวยมาก ๆ แม้จะฟังเหมือนตลก แต่ผลวิจัยน่าทึ่งจริง ๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเห็นดังกล่าว ถูกตอกกลับด้วยโพสต์จากเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ ของนายเจษฎา เด่นดวงบริพันธุ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า แนวคิดเรื่องความคิดของคน มีผลต่อน้ำ เช่น ถ้าพูดดี ๆ กับน้ำ จะมีผลึกที่สวยงามกว่าการพูดร้าย ๆ กับน้ำ ถือว่าเป็นเรื่อง pseudo science วิทยาศาสตร์ปลอม ที่ไม่ได้น่าเชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง
เรื่องนี้เริ่มต้นจากการทดลองชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ ดร.มาซารุ เอโมโตะ ที่บอกว่า หากเอาน้ำใส่ขวดแล้วเขียนคำต่างกัน เช่น รัก เกลียด แล้วเอาผลึกน้ำแข็งในแต่ละขวดไปส่องกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่าผลึกสวยงามต่างกัน แต่ว่า ดร.เอโมโตะคนนี้ ก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ จบจากสถาบันการศึกษาที่ไม่น่าเชื่อถือ
ส่วนผลการทดลองอันนั้น คนในวงการวิทยาศาสตร์วิจารณ์กันว่า ไม่มีการควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ที่เพียงพอ แถมบอกวิธีทดลองที่ไม่ใช่เจน ช่องโหว่สำคัญคือ การตีความผลการทดลองเองตามใจชอบ เช่น ผลึกไหนสวย ไม่สวย ขึ้นอยู่กับความรู้สึกตัวเอง และงานทดลองนี้ก็ไม่ได้อยู่ในวารสารวิชาการที่ไหนด้วย