นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ สนุกเพลิดเพลินได้คติสอนใจ

          นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ มีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้าง วันนี้เรามีนิทานสนุก ๆ พร้อมได้แง่คิดและคติสอนใจมาให้อ่านกัน มีเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ

          ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนชอบเล่านิทานพื้นบ้านให้ลูกหลานฟัง ด้วยเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะชั้นดีที่เป็นเนื้อหาสาระ คติสอนใจ แถมได้ความสนุกสนานเพลิดเพลินไปในเวลาเดียวกัน โดยในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยก็มีนิทานพื้นบ้านแต่ละภาคที่แตกต่างกันไปตามแต่ลักษณะสำคัญของภูมิภาคนั้น ๆ และในวันนี้กระปุกดอทคอม ขอนำเสนอ นิทานพื้นบ้านจากภาคเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตำนานของสถานที่ต่าง ๆ หรือความเป็นมาและสาเหตุของสถานที่เหล่านั้นเล่าสืบต่อกันมาช้านาน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และได้สาระที่เป็นคติสอนใจ อาทิ ความดี ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ รวมถึงยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นภาคเหนืออีกด้วย

          สำหรับนิทานพื้นบ้านทางภาคเหนือ ที่เป็นที่นิยมเล่าสืบต่อกันมามีหลายเรื่องเลยทีเดียวที่สนุกสนาน ดังเรื่องราวที่ยกมาต่อไปนี้

1. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง ลานนางคอย จังหวัดแพร่


          ถ้ำผานางเป็นถ้ำสวยงามอยู่ในจังหวัดแพร่ ปากถ้ำอยู่ภูเขาสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เมตร มีบันไดไต่เลียบเลี้ยววกขึ้นไปจนสุดทาง บันไดเป็นดินและหิน มีลานกว้างเป็นที่นั่งพัก ก่อนจะเข้าสู่ถ้ำด้านขวามือเป็นซอกเขา มีทางขึ้นไปไม่สูง ข้างบนมีลานหินเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่นั่ง เรียกกันว่า ลานนางคอย

          เรื่องถ้ำผานางและลานนางคอยมีอยู่ว่า ครั้นอาณาจักรแสนหวียังเจริญรุ่งเรือง เจ้าผู้ครองนครมีราชธิดาผู้สิริโฉมงดงามมาก นามว่านางอรัญญนี วันหนึ่งนางเสด็จประพาสโดยเรือพระที่นั่งเกิดมีพายุใหญ่พัดกระหน่ำมา ทำให้เรือพระที่นั่งพลิกคว่ำนางอรัญญนีพลัดตกลงในน้ำ ฝีพายหนุ่มคนหนึ่งได้กระโดลงไปช่วยชีวิตนางไว้ได้ ตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองคนก็ได้ลอบติดต่อรักใคร่กันโดยปิดบังไม่ให้พระราชบิดาของนางล่วงรู้

          จนนางอรัญญนีตั้งครรภ์ขึ้น พระราชบิดาของนางกริ้วมาก สั่งให้โบยนางและกักขังไว้ แต่คนรักของนางก็ได้ลอบเข้าไปหาถึงในที่คุมขัง และพานางหลบหนีไป เมื่อเจ้าครองนครทรงทราบก็สั่งให้ทหารออกติดตามคนทั้งสอง ทหารขี่ม้าทันทั้งสองคนที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง และยิงธนูไปหมายจะเอาชีวิตชายหนุ่ม แต่ธนูพลาดไปถูกนางอรัญญนีได้รับบาดเจ็บสาหัส สามีของนางจึงพานางเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ

          นางอรัญญนีรู้ตัวว่า คงไม่รอดชีวิต จึงขอร้องให้สามีหนีเอาตัวรอดโดยให้สัญญาว่าจะรออยู่ที่ถ้ำแห่งนี้ตลอดไป ชายหนุ่มจึงจำใจต้องจากไปตามคำขอร้องของนาง ส่วนนางอรัญญนีก็นั่งมองดูสามีควบม้าหนีห่างไปจนลับตา และสิ้นใจตายอยู่ในถ้ำแห่งนั้น ลานที่นางนั่งดูสามีควบม้าจากไปนั้น ต่อมาเรียกว่า ลานนางคอย ส่วนถ้ำแห่งนั้นก็ได้ชื่อว่า ถ้ำผานาง

2. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์


          เมืองลับแลเป็นอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เดิมคงเป็นเมืองที่การเดินทางไปมาไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเมืองลับแล ซึ่งแปลว่า มองไม่เห็น มีเรื่องเล่ากันว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล

          มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ แล้วก็เข้าไปในเมืองด้วยความสงสัย ชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก

          ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่า คนในหมู่บ้านนี้ ล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอมแต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน

          วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้เลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า "แม่มาแล้ว ๆ" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก

          จากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้แล้วนางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดิน ทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขารู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้น เรื่อย ๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิมบรรดาญาติมิตรต่างก็ ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา

          ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไม้หมดแล้ว และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทองแต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตาม

3. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง เซี่ยงเมี่ยงค่ำพญา


          มียายแม่หม้ายคนหนึ่ง มีลูกสามคน ทีแรกนั้น ยายแม่หม้ายคนนี้จะข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง ทีนี้ก็ข้ามไม่ได้ มีพญาขี่เรือมา ขอข้ามไปกับพญา พญาก็ไม่ให้ข้าม พระพายเรือมาอีก ขอข้ามกับพระ พระก็ไม่ให้ข้าม ทีนี้ก็มีลัวะพายเรือมาอีก ขอข้ามกับลัวะ ลัวะก็ไม่ให้ข้ามก็เลยผูกเวรไว้ว่า ขอภาวนา (ผาถะนา) มีลูกสามคนให้

          คนหนึ่งไปแกล้งพญา

          คนหนึ่งไปแกล้งพระ

          คนหนึ่งไปแกล้งลัวะ

          ต่อมา ยายแม่หม้ายคนนั้นเกิดมาอีกชาติหนึ่ง ได้แต่งงานอยู่กินกับสามี จนมีลูกด้วยกันสามคน ผัวตายทิ้ง เลยเป็นยายแม่หม้าย ลูกคนหัวปี ของนางแม่หม้าย ก็ได้ไปแกล้งพญา ดังคำสาปแช่งที่นางแม่หม้ายได้อธิษฐานไว้ เมื่อชาติปางก่อน โดยลูกคนนี้ท่องเที่ยวไปวัน ๆ เจอใครก็โกหก หลอกเล่นไปเรื่อย คนอื่น ๆ เห็นว่า "เออ?หมอนี่สมควรไปอยู่กับพญา มันพูดตลกขบขันดี" พญาก็เอาไปอยู่ด้วย พญาบ้านเป็นทัพเมืองเป็นศึก ต่อมาต้องไปออกศึก พญาจึงได้สั่งกับเซี่ยงเมี่ยงว่า "เซี่ยงเมี่ยง ให้มึงอยู่บ้านนะ"

          เซี่ยงเมี่ยงก็อยู่เฝ้าบ้าน แต่เซี่ยงเมี่ยงหลับเล่นชู้กับเมียพญา เมียพญาก็เล่นคบชู้กับมัน จนไม่รู้จะทำยังไง พญามารู้ว่ามันเล่น มันก็ว่ามันไม่ได้เล่น "ผมไม่ได้เล่น ผมไม่ได้ทำจริง ๆ" พญาถามว่า "ก็มึงมีหลักฐานเหรอ"เซี่ยงเมี่ยงตอบว่า  "มีสิ .. ถ้าผมได้เสพได้สู่กับเมียพญา ดูผมนี่เถอะ" เอาปลาร้าปลาสร้อยเข้าพอกหัวแหละ "ดูสิ" กลิ่นสาบตลบอบอวน พญาก็เลยเชื่อมัน ว่าไม่ได้มีชู้กับเมียจริง จึงให้ไปเลี้ยงม้าพญา "เลี้ยงม้า? น้อย?นอย..นอย.. ถ้าไม่มีปลาร้าปลาสร้อยเซี่ยงเมี่ยงก็ตาย"

          ต่อมาเซี่ยงเมี่ยงก็ยังไปหลอกคนอื่นสารพัด พญาว่า "มันเป็นยังไง?หมอนั่นหลอกเก่ง มึงลองหลอกกูดูซิ" พญาขี่ม้ามา มันไปอยู่สนามนู่น หลอกคนทั้งหลาย ใครก็ว่าเซี่ยงเมี่ยงเนี่ยช่างหลอก พญาขี่ม้าไป "อะ?เซี่ยงเมี่ยงมึงช่างหลอก หลอกกูดูซิ" เซี่ยงเมี่ยงตอบไปว่า "ก็จะไปหลอกได้ยังไง พญาอยู่บนหลังม้า ถ้าจะให้ข้าหลอก ต้องลงมาจากม้าทางนี้สิ ลงมาอยู่ใกล้ ๆ จะหลอกได้"

          พอพญาก็กระโดดลงหลังม้า เซี่ยงเมี่ยงรีบบอกว่า "เอ้า?หลอกได้แล้ว ก็หลอกพญาลงม้านั่นแล้วไง"พญาเลยบอกว่า "เอ้อ? ตกลง หลงคำหลอกจริง" อยู่มาอีก ทีนี้มันก็พยายามแกล้งพญาเรื่อย ๆ ผลสุดท้ายพญา ก็เกลียดมัน มันแกล้งพญาเหลือร้าย พญาจะฆ่ามันโดยการเอายาพิษใส่น้ำ เอาให้เซี่ยงเมี่ยงกิน ก็กินจริง เพราะไม่รู้ แต่ก่อนที่มันจะตาย มันก็ได้บอกให้เมียมันว่า "ถ้าข้าจะตาย ถ้าข้าตายไปแล้วละ ให้เองเอาข้าใส่ในอู่ ไกวเสียแล้วก็เอาหนังสือวางลง ส่องหน้าให้ข้าอ่านนะ"

          พอเซี่ยงเมี่ยงตายแล้ว เมียก็ทำตามที่บอก เอาเซี่ยงเมี่ยงใส่ในอู่ไกว พญามาแอบมาดู "หา?เซี่ยงเมี่ยงเนี่ยมันยังไง กินยานี้ไม่ตายหรือนี่ ยานี้ไม่มีพิษเหรอ" พญาก็มาชิมยาดู พญาก็เลยตายด้วย เรื่องก็จบลงเท่านี้

4. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง ปู๋เซ็ดค่ำลัวะ


          เรื่องปู๋เซ็ดค่ำลัวะ ก็คือว่า ลูกคนสุดท้องของยายนั่นแหละ (นางแม่หม้าย) ส่งให้มา มาแกล้งลัวะ มันจะไปพยายามแกล้งลัวะทุกทางเลย ทีนี้ก็ พวกลัวะทั้งหลาย ลูกเล็กเด็กแดงลูกลัวะ เล่นกับมัน มันก็เล่นด้วย แกล้งด้วย เขกหัวเขกเหอ ทำสารพัด มันกำลังจะโกหก หลอกว่า "ใคร?ใครไม่ไปตกเบ็ดเหรอ ตกเบ็ดปลากินดีนะ" "เอาอะไรตก เอาอะไรทำเหยื่อ"

          ปู๋เซ็ดก็บอกว่าเอาไข่ "ต้มไข่สักรังเอาไป แล้วก็ เอาเกาะเบ็ด มันได้อยู่แล้ว"

          หมอนั่นว่ามันจะบอกให้พ่อมัน หมอนั่นมันจะบอกให้พ่อมัน มันจะบอกให้พ่อเราไปตก ว่าเสร็จ ปู๋เซ็ดนั้นมันก็ "ก็พวกเองจะไปตกเบ็ด บอกให้พ่อเองไปตกเบ็ดเมื่อไร" "วันพรุ่งนี้" (รุ่งขึ้น) ปู๋เซ็ดก็ไปซ่อนอยู่ใต้วังน้ำ ถ้าเขาตกเบ็ดมามันก็เอาไข่เสีย ตกเบ็ดมามันก็เอาไข่ ไข่ใส่เบ็ดตก ได้มาก็เอามากิน จนกระทั่ง มันได้ลูกได้เมีย ก็หากิน เอามาให้ลูกมัน มากินอวดลูกลัวะลูกลัวะถาม "ไอ้นี่ เอ็งไปเอาไข่ที่ไหนมากิน" "พ่อข้าไปเป็นปลาอยู่ในวัง ไปเอาไข่มากิน"

          ทีนี้ เด็กลูกลัวะมาบอกให้พ่อแม่ พ่อแม่มัน "ฮึ?ปู๋เซ็ดจริง ๆ ด้วย ที่มันมากินไข่เราเนี่ย ไม่ใช่ปลา ทีนี้ นะเราจะไปกินไข่ปู๋เซ็ดบ้างล่ะ" บอกให้ลูกปู๋เซ็ดแหละ หมู่เด็กบอกว่า "ไอ้นี่ วันพรุ่งนี้ บอกให้พ่อเองไปตกเบ็ดนะ เอาไข่ไปตกสิ พ่อข้าเขาจะเปลี่ยนจากตกเบ็ด?พ่อข้าเขาจะไปเป็นปลา พ่อเองไปตกเบ็ดบ้าง"(พูด)เสร็จ ทีนี้ก็ไปตกเลย มันไม่ได้ใส่ไข่เยอะ ใส่ไข่นิดเดียว ทำเบ็ดคมแล้วก็คมอีก ตกไปงั้น ลัวะมันไม่ได้ฉลาดเหมือนคนเมืองเรา ลัวะสมัยเมื่อก่อนน่ะ?. พอตกเบ็ดก็ตะครุบคาบ ปู๋เซ็ดลากคอมาตีเสีย ตกเบ็ดไปก็คาบ ก็ลากคอมาตี ตายหมดจนเป็นครึ่งหมู่บ้านแล้วสิ

          พอเบื่อ เลยมาหาวิธีแกล้งอย่างอื่นอีก? คิดอะไรไม่ออกแล้วแกล้งทำเป็นไม่สบาย ปู๋เซ็ดแกล้งทำเป็นไม่สบาย อำพรางที่จะไปฆ่าลัวะ มาหาเอ่อ?ไปถามยามที่ลัวะ "โห!?มันไม่สบายอย่างนี้ ก็ต้องไปเซ่น ผีไม้หลวงกลวงไม้ใหญ่ก่อนน่ะ จะหาย" ทีนี้ก็ปู๋เซ็ดมันเข้าไปอยู่กลวงไม้นู่น พอพวกลัวะเอาไก่เอาอะไร มาเซ่น "เอ้อ?นี่นะผีไม้หลวงกลวงไม้ใหญ่ เอามาเซ่นมาบูชา ลูกเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้"

          เอ้อ!?วิ่ง..วิ่ง..วิ่ง..วิ่ง ลัวะมันกลัว ปู๋เซ็ดเอาไก่มาให้ลูกมันกินไป (กิน) อวดลัวะ ทีนี้ลูกลัวะเห็นก็หือ? ร้องไห้อยากจะกิน ก็ถามว่า "เองเอาไก่ไหนมากิน" "อึม?พ่อข้าเป็นผีอยู่..เอ่อ..ต้นไม้หลวงกลวงไม้ใหญ่ ได้ไก่ต้มมากิน" ลัวะพูดว่า "วันพรุ่งนี้ให้ปู๋เซ็ดไปเซ่นบ้างนะ ไก่น่ะ" ลัวะทั้งหลายก็ ปู๋เซ็ดนี่ก็แกล้งไม่สบาย มาถามยามที่ลัวะ อีกน่ะแหละ "ให้ไปเซ่นผีไม้หลวงกลวงไม้ใหญ่เอะ จะหาย เอาไก่ไปเยอะ ๆ" มันก็ว่า "เอ้อ?ดีละ ต้นไม้กลวงมันมีนั่นต้นหนึ่งแล้วนี่"

          พวกลัวะก็ไปอยู่ในกลวงไม้นั่น ก็ในกลวงไม้ ปู๋เซ็ดก็เอาไก่ไปเอาหมูไป แกล้งตีหมูให้ร้อง อู๊ด!..อู๊ด!..อู้ด!..อู้ด!.. มันไม่ได้ตีให้ตาย พวกลัวะก็พากันดีใจว่าจะได้กินเนื้อไก่ เนื้อหมู มันหักเอาเศษไม้ เอาเศษหญ้าเอาอะไรเข้ายัดข้างใต้ ก็ไฟเข้าหวดให้เขา ตายกันหมดบ้านหมดเมืองลัวะ อีกซ้ำยังไม่พอ กะโหลกหัวปู๋เซ็ดนั้นที่เรี่ยอยู่ มันตายแล้วมันเรี่ยอยู่นั่น พวกลัวะที่หลงที่เหลือยังอยู่นั้น ไปขี้ใส่กะโหลกหัวมัน "เจ็บใจ มันแกล้งทั้งโคตรพ่อโคตรแม่" "เฮ่อ? ปู๋เซ็ดนี่ กะโหลกหัวมันก็ยังดุอยู่เลยว่ะเฮ้ย" นี่แหละ?จบเท่านี้เรื่องปู๋เซ็ด

5. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง ดนตรีธรรมชาติ


          มีนายพรานผู้หนึ่งมีอาชีพเข้าป่าล่าสัตว์ เมื่องยิงสัตว์ได้ก็แล่เนื้อและย่างนำมาขายในเมืองส่วนเขาและหนังก็ขายให้ แก่ผู้ต้องการ วันหนึ่ง เขาออกจากบ้านพร้อมกับปีนคู่มือเดินลัดตรงเข้าป่ามุ่งตรงไปยังหนองน้ำข้างเขา เพราะบริเวณนี้สัตว์ป่ามักจะลงมากินน้ำและกินดินโป่งเสมอ ๆ

          นายพรานคิดแต่ในใจว่า วันนี้ถ้าโชคดีคงจะยิงหมูได้ไม่น้อยกว่า 2 ตัว เพราะฤดูนี้หมูชอบลงมากินดินโป่ง ขณะที่นายพรานกำลังเดินทางไปผ่านป่าทะลุออกสู่แม่น้ำสองฟาก แม่น้ำมีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม เยือกเย็น มีนกนานาชนิดจับคู่ส่งเสียงจอแจ

          นายพรานกวาดสายตาดูรอบ ๆ เพื่อมองหาสัตว์ป่าที่จะลงมากินน้ำ ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นหมูป่าขนาดใหญ่กำลังเดินดุ่ม ๆ เสาะหาอาหารตามชายป่าละเมาะอีกอีกฟากหนึ่ง นายพรานก็ทรุดตัวลงนั่งโดยเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมบรรจุลูกกระสุนและเลือกทำเลที่เหมาะคอยดักยิง

          หมูป่าตัวนั้นคงเดินเสาะหาอาหารไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันไปพบรางไม้สำหรับใส่อาหารซึ่งชาวไร่ใส่อาหารดักล่าสัตว์ป่าไว้ โดยไม่รีรอมันตรงเข้ากินอาหารในรางนั้นทันที เผอิญวันนี้เจ้าของไร่ไม่สบาย จึงไม่ได้ออกมานั่งห้างคอยดักยิงสัตว์ที่ตนวางอาหารล่อไว้

          นายพรานขยับตังคลานเข้าไปเพื่อเลือกทำเลยิงที่เหมาะ จนกระทั่งอยู่ในระยะที่มองเห็นหมูตัวนั้นชัดเจนที่สุด เขาจึงยกปืนขึ้นประทับบ่าเล็งจะยิงให้ตรงหัวใจ ขณะที่เขากำลังเล็งอยู่นั้น ลมเย็นพัดมาเอื่อย ๆ ยอดหญ้ายอดพงแกว่งไกวโอนเอนไปมา แสงแดดสว่างจ้าเข้าตาทำให้ตาเขาพร่าพราวมองเห็นหมูป่าไม่ชัดเจน เขาจึงหยุด ไม่กล้ายิงไปเพราะเกรงว่าจะยิงพลาด

          ขณะที่เขากำลังอยู่นั้น หูของเขาได้ยินเสียงของนกหัวขวานกำลังจิกกินหนอนที่กอไผ่ ดัง ป๊ก ป๊ก ปง ปง ๆ เป็นระยะ ๆ ประกอบกับเสียงระหัดน้ำที่หมุนตามแรงน้ำ น้ำในกระบอกไหลออกตกลงมากระทบรางไม้ที่รองรับดัง ฉ่า ฉ่า ฉับ ฉ่า ฉ่า ฉับ ๆ ผสมกับเสียงหมูกินอาหารในรางไม้ดัง ตุ๊บ ตุ๊บ โมง โมง จ๊วบ จ๊วบ ๆ หางของมันซึ่งมีดินเหนียวติดตรงปลายหางเห็นเป็นก้อนกลมแกว่งไปมาไล่ริ้นยง หางแกว่งถูกท้องของมันดัง ปุ๋ง ปั๋ง ปุ๋ง ปั่ง ๆ ผสมกับเสียงลมพัดกอไผ่เสียดสีกันดังเอี๊ยด ๆ อี๊ด ๆ อ๊อด ๆ เสียงแกนระหัดหมุนไปตามแรงน้ำดัง อืด อิด ๆ นกต้อยตีวิด บินไปมาร้องดังกระแต๊ แว๊ด ๆ ๆ

          เสียงต่าง ๆ เหล่านี้ดังผสมคลุกเคล้ากันฟังเหมือนเสียงดนตรีสวรรค์ นายพรานระงับใจไว้ไม่ได้จึงลดปืนลงมาพาดกับกิ่งไม้เงี่ยหูฟังเสียงเหล่านั้น อย่างตั้งใจ เสียงเหล่านั้นมันดัง ป๊ก ป๊ก ปง ปง ๆ ฉ่า ฉ่า ฉับ ๆ ตุ๊บ ตุ๊บ โมง ๆ จ๊วบ จ๊วบ ๆ ปุ๋ง ปั่ง ๆ เอื๊ยด ๆ อื๊ด ๆ แอ๊ด ๆ อืด อือ อืด ๆ กระแต้แว้ด ๆ

          "เออ เสียงเหล่านี้ช่างไพเราะแท้ ๆ " นายพรานอดใจไว้ไม่ได้จึงลุกขึ้นรำไปตามจังหวะ ดังคำพรรณนาไว้ดังนี้

          จ้อง ๆ มอง ๆ ยอง ๆ ย่อยแย่ง ไกวแกว่งอาวุธ ยุติการยิง เอนกายนั่งพิงต้นไม้ นั่งพิงฟังเสียงเสนาะไพเราะกระไร แกลุกขึ้นไอฮะแอ้ม ๆ แก้มยิ้มเป็นมัน กัดฟันกรอด ๆ หมูคงไม่รอดจอดแน่ละมึง พรานทะลึ่งลุกกวางปืนไว้ พลางกางแขนออกฟ้อน หมูป่าตกใจโดดหายเข้าป่า พรานกล้าใจเสียอดได้หมูเอย

          ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

          นิทานเรื่องนี้ทำให้ผู้อ่านทราบว่า ธรรมชาติก็มีอิทธิพลต่อจิตใจ สามารถทำให้คนตึงเครียดได้หรือผ่อนคลายอารมณ์ได้ เช่น เสียงดนตรี ทำให้มีอารมณ์สนุกสนานจนลืมสิ่งที่ตึงเครียดไป

6. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง เชียงดาว


          ในอดีตกาลมีนครแห่งหนึ่งนามว่า นครพะเยา กษัตริย์ผู้ครองนครมีราชธิดา 6 องค์ และมีโอรสเป็นองค์สุดท้าย นามว่า เจ้าคำแดง อายุ 16 ชันษา ราชธิดาทุกองค์สมรสหมดแล้วกับเจ้าเมืองต่าง ๆ สำหรับเจ้าคำแดงเป็นผู้กล้าหาญ เข้มแข็งในการสงครามยิ่งนัก ทรงโปรดการออกป่าล่าสัตว์อยู่เสมอ ๆ

          ครั้นหนึ่งมีกองทัพฮ่อยมาล้อมนครพะเยา พระราชาทรงเรียกเขยทั้ง 6 องค์มาถามว่า "ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นผู้อาสาออกไปปราบปราม" เขยทั้ง 6 นิ่ง ไม่มีใครกล้าอาสา เพราะทราบว่าศัตรูมีกำลังมากมายและเข้มแข็งยิ่งนัก ดังนั้น พระราชาจึงตรัสเรียกเจ้าคำแดงออกมา เมื่อเจ้าคำแดงทราบเรื่องจึงรับอาสาออกปราบเอง พร้อมด้วยไพร่พลหนึ่งหมื่น

          การรบครั้งข้าศึกได้แตกพ่ายไป เมื่อเจ้าคำแดงได้ชัยชนะก็ยกทัพกลับ ขณะเดินทาง บังเอิญเจ้าคำแดงเห็นกวางทองรูปงามตัวหนึ่ง ก็อยากจะได้เพื่อนำไปถวายพระบิดา จึงสั่งให้พวกทหารเข้าล้อม เมื่อไพร่พลเข้าล้อมอย่างกระชั้นชิดเข้าไปมาก กวางก็ตกใจกระโจนหนีออกทางด้านเจ้าคำแดง ดังนั้น เจ้าคำแดงจึงควบม้าติดตามไปพร้อมด้วยไพร่พล การติดตามใช้เวลาหลายวัน จากนครพระเยาจนเข้าเขตเชียงใหม่ จนเข้าใกล้เขาลูกหนึ่งสูงมาก สูงเทียมดาว ไพร่พลเรียกเขาลูกนี้ว่า "สูงเพียงดาว" ต่อมาชื่อนี้เพี้ยนไปเป็น "เชียงดาว"

          บริเวณเชิงเขาเป็นทุ่งกว้าง กวางทองวิ่งหายไปในป่าหญ้า ต้องใช้เวลาค้นหาเป็นเวลานานบริเวณทุ่งหญ้าตรงนี้ชาวบ้านเรียกว่า "ทุงผวน" (ทุ่งกวางหาย) "ผวน" เป็นคำพื้นเมือง แปลว่า "สับสน" ต่อมาพวกทหารได้มองเห็นแต่ไกล คิดว่าเป็นเนื้อทราย แต่พิจารณาดูดี ๆ จึงรู้ว่าเป็นกวางทอง ตรงบริเวณนี้ชาวบ้านให้ชื่อว่า "บ้านแม่ทลาย" (แม่ทราย) เจ้าคำแดงคงติดตามไปไม่ลดละกวางเห็นจวนตัวจึงถอดคราบกวางทองออกไว้ เรือนร่างภายในกลายเป็นสตรีสาวสวยยิ่งนัก นามว่า "อินทร์เหลา" แล้วหนีต่อไป ทั้งหมดจึงรู้ว่ากวางทองเป็นคน หมู่บ้านที่กวางถอดคราบออกนี้เรียกว่า "บ้านสบคราบ" (สบ ปากทางแพร่)

          อินทร์เหลาหนีขึ้นไปตามลำธารเล็ก ๆ เนื่องด้วยมีเครื่องแต่งกายเพียงเล็กน้อย เจ้าคำแดงที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิดเกรงว่านางจะอาย จึงยกมือโบกให้ทหารติดตามมาหมอบราบกับพื้น เพื่อมิให้นางเห็น ตรงนี้เรียกว่า "น้ำแม่แมบ" (แมบ ? หมอบ) ต่อมาเพี้ยนเป็นแม่น้ำแมะ นางหนีขึ้นไปถึงบนเนินเขาซึ่งเป็นทางแคบ ๆ ทหารตรูเข้าจะจับตัวนาง แต่เจ้าคำแดงยกมือห้ามไว้ พระองค์จะตามไปเอง พอดีนางอินทร์เหลาหนีเข้าป่าไปได้ หมู่บ้านตรงนี้เรียกว่า "แม่นะ" และเพื่อไม่ให้นางหลบหนีไปได้ เจ้าคำแดงจึงสั่งให้ทหารล้อมไว้พร้อมกับขุดคูกั้นไว้ คูนี้ต่อมาเรียกว่า "คือฮ่อ" (คือ-คู)

          นางอินทร์เหลาจวนตัว จึงพยายามปีนป่าขึ้นเขาได้ เจ้าคำแดงติดตามไปแต่ผู้เดียว และไปพบตัวนางบนเนินเขาเตี้ย ๆ นางจึงถามว่า "มาจับฉันทำไมฉันมีความผิดอะไรหรือ"เจ้าคำแดงตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นราชโอรสของกษัตริย์พะเยา เห็นกวางทองก็อยากจะได้จึงติดตามมา แต่ปรากฏว่ากวางทองตัวนั้นความจริงเป็นนางผู้สวยงาม เกิดรู้สึกรักและอยากจะได้เป็นชายา" นางตอบว่า "หากพระองค์รักข้าพเจ้าจริง ควรจะต้องไปบอกมารดาเสียก่อน ขณะนี้อยู่ในถ้ำ" เจ้าคำแดงเห็นตามคำกล่าว จึงลงมาจากม้าเดินตามนางเข้าไปในถ้ำเพื่อไปหามารดาของนาง ซึ่งมีชื่อว่า "อินทร์ลงเหลา"

          พวกเสนาที่ติดตามมาพบแต่ม้าที่ปล่อยไว้ แลเห็นรอยเท้าทั้งสองหายเข้าไปในถ้ำ พวกเขารออยู่เป็นเวลานานเจ้าคำแดงก็ไม่ออกมา เมื่อเข้าไปดูในถ้ำก็ไปไม่ถูกจึงต้องยกทัพกลับนครพะเยา ชาวบ้านใกล้ ๆ ทราบเรื่องต่างกล่าวว่า เจ้าคำแดงขณะนี้ได้เป็นอารักษ์คุ้มครองดูแลถ้ำขุนเขาลูกนี้ และเรียกเจ้าคำแดงว่า "เจ้าหลวงคำแดง" ทุกวันนี้

          ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

          นิทานเรื่องนี้ เป็นการบอกให้เราคนหลัง ๆ ได้ทราบถึงความเป็นมาของสถานที่ที่มีชื่อในถิ่นนั้นและแสดงให้เห็นถึงความ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และความพยายามเป็นอย่างมากจนพบกับความสำเร็จแต่ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับทางไสยศาสตร์เช่นกัน

7. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง อ้ายก้องขี้จุ๊


          ใคร ๆ ในเวลานั้นก็รู้กันว่าอ้ายก้องเป็นคนขี้จุ๊ (มักกล่าวเท็จ) จุ๊ไม่เลือกว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นธุเจ้า (พระสงฆ์) หรือเป็นพระยาเจ้าเมือง เรื่องที่ก้องหลอกพ่อแม่ มีเรื่องเล่าดังนี้

          วันหนึ่งก้องลาพ่อแม่ไปเที่ยวที่ไกล หายหน้าไปหลายวัน พอกลับมาก็เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าที่ไปเที่ยวมานั้นม่วน (สนุก) มาก ค้าขายก็ดี พ่อค้าวัวต่างวัวหลัง (ขายดี ของที่บรรทุกหลังวัวมาหมดเกลี้ยง) ทำให้ก้องอยากเป็นพ่อค้าวัวต่างบ้าง ขอให้พ่อช่วยซื้อวัว ซื้อสินค้าให้ แล้วชวนพ่อไปค้ากับตนที่เมืองนั้น พ่อเองทั้งนึกกลัวว่าก้องจะจุ๊เอาอีกอย่างที่แล้ว ๆ มา แต่ก้องก็ยืนยันว่าคราวนี้จะไม่จุ๊แน่นอน ทั้งพ่อก็กำกับไปเองด้วย ไม่ต้องกลัวว่าก้องจะทำเหลวไหลให้เสียเงินเสียทอง พ่อแม่จึงยอมตกลงซื้อวัว ซื้อของบรรทุกไปค้าขายกับก้อง

          เมืองที่ว่าค้าขายดีนั้นดีจริงเหมือนก้องพูด พ่อกับก้องขายของหมด ซื้อไปขายมาได้เงินมากได้กำไรจนเพลินไปเกือบจะไม่ได้ปิ๊กบ้านปิ๊กเมือง (กลับบ้านกลับเมือง) อยู่มาวันหนึ่งก้องเตือนพ่อขึ้นว่า จากบ้านมานานแล้วนึกเป็นห่วงแม่อยากจะกลับไปเยี่ยม พ่อก็เห็นดีด้วย แต่ขณะที่กำลังซื้อขายคล่อง ถ้ากลับไปก็เสียดาย จึงตกลงกันว่าให้พ่อค้าขายอยู่ทางนี้ ให้ก้องกลับไปเยี่ยมแม่คนเดียวเอาเงินเอาทองที่ทำมาหาได้ไปฝากแม่ด้วย

          ก้องรับเงินทองจากพ่อแล้วออกเดินทางไป แต่ไม่ตรงไปหาแม่เดียว เที่ยวไถลไปไหน ๆ จนเงินทองหมดตัวจึงกลับไปหาแม่ พอพบหน้าแม่ก็ทำเป็นเศร้าโศกร้องไห้ฟูมฟายว่าไปมาคราวนี้พาพ่อไปล้มไปตาย ข้าวของสมบัติอะไร ๆ ที่ติดตัวไปก็ล่มหมด พ่อตายทำบุญให้แล้วก็รีบกลับมากาแม่นี่แหละ อู้ (พูด) อย่างนี้แล้วก็แนะแม่ว่า เวลานี้พ่อก็หาไม่แล้ว (ตาย) ควรขายบ้านเก่าเสียแล้วย้ายไปเมืองอื่นที่ทำมาหากินได้ดีกว่าเมืองนี้

          ก้องจะอยู่ช่วยแม่ค้าขาย ไม่จากแม่ไปไหนอีกแล้ว แม่กำลังเศร้าโศกเสียใจก็ตกลงทำตามที่ก้องแนะนำ ขายบ้านเก่าแล้วย้ายมาอยู่ที่ใหม่แล้วแม่ก็ยังไม่หายเสียใจ ร้องไห้คิดถึงพ่ออยู่เสมอ ก้องจึงปลอบแม่ว่า "แม่อย่าร้องไห้เสียใจไปนักเลย ไหน ๆ พ่อก็ตายไปแล้ว นึกหาเอาใหม่ก็แล้วกัน" แม่ตอบว่า "จะหาคนเหมือนพ่อไม่ได้แล้ว ถ้าได้อย่างพ่อก็จะเอาใหม่" ก้องจึงบอกแม่ว่า "ถ้าต้องการอย่างนั้นก็บ่ยาก แต่ก่อนเมื่อข้าเที่ยวไป ข้าปะพ่อชายคนหนึ่งเหมือนพ่อไม่ผิดกันเลย ข้าจะไปชักมาให้แม่"

          ครั้นแล้วก้องก็ลาแม่ไป กลับไปหาพ่อที่คอยฟังข่าวอยู่ ก้องพบพ่อทำเป็นร้องไห้รำพันร่ำไรว่ากลับไปบ้านนี้เคราะห์ร้ายมาก ไม่ได้พบหน้าแม่ แม่ตายเสียแล้วตั้งแต่ยังค้าขายกันอยู่ บ้านช่องก็เสียหายเป็นของเขาอื่นไปแล้ว พ่อได้ยินว่าแม่ตายเสียแล้วอย่างนั้นก็เสียใจมาก ร้องไห้คิดถึงแม่อยู่หลายวัน วันหนึ่งก้องได้ช่อง (ได้โอกาส) ก็เข้าไปปลอบพ่อว่า "พ่ออย่าร้องไห้ไปเลย เมื่อก่อนที่ข้าเที่ยวไป ข้าปะหญิงคนหนึ่งเหมือนแม่ไม่มีผิด เมื่อพ่ออยากเห็นข้าจะพาไปที่บ้าน"

          ก้องชักพ่อมาหาแม่ที่เมืองที่แม่ย้ายมาอยู่ใหม่ แล้วรีบหนีไปเที่ยวเสียที่อื่นต่อไป พ่อแม่พบกันนึกว่าเป็นพ่อชาย แม่หญิง ที่เหมือนคู่เก่าของตนที่ตายไปแล้ว ก็ดีใจมาก ตกลงอยู่กินกันต่างคนต่างนึกว่าตนได้คู่คนใหม่

          อยู่มาวันหนึ่ง แม่บ่นถึงก้องว่าหายไปนานแล้วไม่กลับ ไปเที่ยวจุ๊อยู่ที่บ้านไหนก็ไม่รู้ พ่อได้ยินออกชื่อก้องก็สงสัย ซักถามกันขึ้น ก็ความแตกว่าต่างคนมีลูกชื่อก้องขี้จุ๊คนนั้นเอง ลูกหลอกให้มาได้กันเหมือนได้ผัวใหม่เมียใหม่

          ส่วนที่ก้องจุ๊ธุเจ้านั้น มีเรื่องเล่าว่า อาจารย์เจ้าวัดหนึ่งเป็นคนขี้หวง ถึงหน้าต้นไม้ในวัดออกลูกออกผล อาจารย์ก็ป้องกันแข็งแรงกลัวว่าใครจะมาขอมาขโมย คราวหนึ่งมะม่วงในวัดออกลูกมากมาย คนในวัดและชาวบ้านแถวนั้นรู้ดีว่าเจ้าวัดหวงมาก ถึงอย่างไร ๆ ก็คงไม่ยอมให้มะม่วงใคร ก้องอยากลองดีจึงบอกกับพ่อว่าฉันจะเอามะม่วงในวัดมาให้พ่อกินให้ได้ พ่อก็หัวเราะประมาทหน้า แน่ใจว่าเอาของท่านมาไม่ได้

          ก้องท้าพนันกับพ่อว่า ถ้าเอามาได้พ่อจะให้เท่าไร พ่อบอกว่าได้มะม่วงมาลูกหนึ่งจะให้พันตำลึงทอง ก้องจึงรับรอง่าถ้าได้พันตำลึงทองจะเอามาให้พ่อตะกร้าใหญ่ ไม่ต้องนับว่ากี่ลูก แล้วก็แต่งตัวโอ่โถง ลงเรือหายหน้าไป ๒ ? ๓ วัน พ่อก็ไม่รู้ว่าก้องไปไหนพอกลับมาก้องรีบมาที่วัดเข้าไปเคารพอาจารย์เจ้าวัด แล้วบอกว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนรับคำสั่งท่านพญาเจ้าเมืองให้มาตรวจดูสถานที่ในวัดท่านจะมาแปง (สร้าง) หอหลวง ท่านให้มาถามอาจารย์ก่อนว่าจะยอมอนุญาตให้สร้างหรือไม่" อาจารย์เจ้าวัดเห็นก้องแต่งตัวภูมิฐาน ท่าทางดี นึกว่าพญาเจ้าเมืองใช้ให้มาจริง ๆ ก็บอกอนุญาตให้ก้องเที่ยวเดินไปทั่ววัดตรวจไปพลางเอาเชือกเที่ยววัดตรงนั้นตรงนี้ทำท่าเหมือนจริง ครั้นวัดและจดได้เสร็จแล้ว ก็บ่นดัง ๆ ให้เจ้าวัดได้ยินว่า "สะดายสะดาย ( เสียดาย ) มะม่วงต้องตัด หอหลวงนี้ใหญ่โตมาก กินที่ไปถึงต้นมะม่วงพวกนี้ด้วย" อาจารย์เห็นวาได้หอหลวงใหญ่ถึงจะตัดมะม่วงสักต้นก็ยอม และเมื่อไหน ๆ จะตัดมะม่วงอยู่แล้ว ก้องจะเก็บเอาลูกไปบ้างก็ได้ไม่หวงเอาไว้เหมือนแต่ก่อน ทั้งก้องก็เป็นคนที่จะไปนำพญาเจ้าเมืองมาแปงหอหลวงในวัดนี้ จึงให้ก้องเก็บมะม่วงเอาไปตะกร้าหนึ่ง ก้องเอามะม่วงไปให้พ่อ พอร้องทวงตำลึงทองตามที่พ่อสัญญาไว้ พ่อกลับร้องด่าเอาว่า "มึงรู้จักจุ๊ธุเจ้าเอามะม่วงมาได้ กูไม่รู้จักจะจุ๊ใคร จะเอาคำที่ไหนมาหื้อ (ให้) มึงตั้งพัน"

          ส่วนเรื่องที่ก้องจุ๊พญาเจ้าเมือง มีว่า พญาเจ้าเมืองรู้ว่าก้องเป็นคนขี้จุ๊ ใคร ๆ ก็เสียรู้ นึกอยากลองปัญญา จึงให้คนไปหาตัวมาเฝ้าแล้วท้าให้จุ๊ตัวบ้างดูว่าตนจะหลงเชื่อเสียรู้ก้อง หรือไม่ ก้องก็รับปากว่าจะลองดู แล้วทูลขอเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าอย่าเอาโทษตนเป็นอันขาด ไม่ว่าตนจะทำให้พญาเสียรู้สักแค่ไหน เจ้าเมืองก็รับคำแล้วบอกให้ก้องเริ่มได้ แต่ก้องบอกว่าจะจุ๊เจ้าเมืองในวังไม่ได้ ต้องออกไปข้างนอกไกล ๆ แล้วพาเจ้าเหนือหัวเดินออกไปนอกเมืองไกลจนถึงบวก (หนองน้ำ) แห่งหนึ่ง แล้วทูลขอให้เจ้าเมืองลงไปยืนในหนองน้ำนั้น ตนจะจุ๊ให้ขึ้นจากหนองน้ำให้ได้ พญาเจ้าเมืองก็ลงไปในหนองน้ำแล้วตั้งใจว่าก้องจะจุ๊อย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น

          พอเจ้าเหนือหัวลงไปอยู่ในหนองเรียบร้อยแล้ว ก้องก็ร้องทูลว่า "ข้าพเจ้าจุ๊ให้ท่านเดินออกจากวังมานอกเมืองไกลแค่นี้แล้ว ส่วนที่จุ๊ให้ลงไปอยู่ในน้ำนั้นจะขึ้นหรือไม่ก็ตามพระทัยเถิด" ก้องกล่าวดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลากลับไปเสียเฉย ๆ พญาเจ้าเมืองก็รู้ว่าเสียท่าก้องเสียแล้ว และตั้งแต่เสียรู้ก้องวันนั้นแล้วก็ผูกใจเจ็บอยู่เสมอ วันหนึ่งจึงให้ไปจับก้องลงโทษ ให้เอาใส่หีบไม้ล่อ (โผล่) แค่คอแล้วแขวนเอาไว้บนต้นไม้ริมแม่น้ำใกล้ทางหลวง แขวนประจานเอาไว้เจ็ดวันให้คนทั้งหลายดูหน้าคนบังอาจจุ๊เจ้าเหนือหัว เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว จะให้โค่นต้นไม้ตกแม่น้ำไปให้ก้องจมน้ำตายอยู่ในหีบไม้ใบนั้น

          ผู้คนก็พามาดูอ้ายก้องขี้จุ๊กันมากมาย ในเย็นที่ก้องจะต้องตายนั้น เผอิญอ้ายเงี้ยวตาฟางคนหนึ่งเดินงุ่มง่ามมา ก้องแลเห็นแต่ไกลก็ดีใจมาก ร้องเรียกให้เข้ามาใกล้ ๆ เงี้ยวตาฟางจึงถามว่าก้องเป็นใคร ก้องบอกว่าตนเป็นคนตาบอด หมอรักษาตาเอาใส่หีบแขวนไว้ เวลานี้ตาหายแล้วเห็นดีแล้ว เงี้ยวตาฟางอยากตาดีบ้าง จึงขอให้ก้องช่วยเอาตัวใส่หีบแขวนไว้ เงี้ยวจึงช่วยก้องออกมาแล้วเข้าไปอยู่ในหีบแทน ครบกำหนดเจ็ดวัน เพชฌฆาตก็มาโค่นต้นไม้ เงี้ยวตาย ส่วนก้องพ้นตายไปได้ แล้วก็ไปเฝ้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองแปลกใจว่าเหตุใดก้องตากน้ำแล้วยังไม่ตาย

          ก้องจึงกุเรื่องขึ้นเล่าว่า "ตกน้ำไปจริงแต่ไม่ตาย ได้ไปเที่ยวถึงเมืองพญานาค เมืองนั้นสนุกสนานมาก มีแต่ผู้หญิงงาม ๆ ทั้งเมือง ไม่มีผู้ชายเลย" แล้วขยายเรื่องจนเจ้าเมืองอยากไปบ้าง ขอให้ก้องช่วยจัดการให้ได้ไปเที่ยวถึงเมืองพญานาค ก้องจึงเอาเจ้าเมืองใส่หีบทิ้งน้ำ เป็นอันว่าพญาเจ้าเมืองไม่ได้กลับมาครองบ้านเมืองอีกต่อไป

          ส่วนก้องกลับมาเฝ้านางเทวี ชายาเจ้าเมือง เล่าว่าเจ้าเมืองไปอยู่เมืองพญานาค มีความสุขสนุกสนาน ไม่ยอมกลับบ้านเมืองอีกแล้ว มอบให้ก้องเป็นพญาแทน ส่วนเจ้านางเทวีนั้น พญาสั่งว่าอย่าให้เอาผู้ใดเป็นผัวนอกจากก้อง อ้ายก้องขี้จุ๊ก็ได้เป็นพญาแต่นั้นมา

          ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

          - ให้ความสนุกเพลิดเพลิน

          - ให้เห็นถึงความโกหกหลอกลวงของคนที่โกหกหลอกลวงไม่เลือกแม้แต่พ่อแม่ พระสงฆ์

          - คนมีสติปัญญาสามารถเอาตัวรอดได้เสมอ

8. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง ผาวิ่งชู้


          นานมาแล้ว มีเจ้าหญิงไตองค์หนึ่ง (ไต ? ไทย) เมื่อเติบโตเป็นสาวก็ไปหลงรักกับชายหนุ่ม คนหนึ่ง ชายหนุ่มก็หลงรักเจ้าหญิงมาก ทั้งสองมีความรักซึ่งกันและกันอย่างแน่นแฟ้น แต่เพราะความแตกต่างกันในเรื่องฐานะ ศักดิ์ ตระกูล ความรักของเขาทั้งสองจึงมีอุปสรรค มันเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงยากที่จะฟันฝ่าไปให้ถึงจุดหมายได้ ในเมื่อกำเนิดของเขาต่างกันราวฟ้ากับกิน

          ชายหนุ่มเป็นลูกชายของมหาอำมาตย์ท่านหนึ่ง ความรักของคนทั้งสองก็ต้องถูกกีดขวางไม่ให้ติดต่อกัน แต่ความรักคือความรักที่รุนแรง ไม่มีกำแพงใด ๆ จะสูงเกินไปกว่าความรักเหมือนโรเมโอกล่าวว่า "แม้รั้วสิลา บ่มิอาจกั้นเราได้" แล้วหนุ่มสาวก็ถือโอกาสลอบพบปะกันเสมอ นับวันก็จะถูกกีดขวางมากขึ้น

          วันหนึ่งทั้งสองก็นัดกันว่าจะหนีไปด้วยกันโดยขี่ม้าหนีไป พอได้เวลานัดชายหนุ่มก็มาคอยรับเจ้าหญิงในที่ลับ ๆ แห่งหนึ่งนอกเมือง ในที่สุดชายหนุ่มก็พาเจ้าหญิงหนีไปในกลางดึกคืนวันนั้น แต่ทั้งสองไปไม่รอดเพราะพระราชบิดาของเจ้าหญิงทราบเรื่องก็ให้ไพร่พลควบม้า ติดตามไป ตามไปทันในขณะที่ม้าของชายหนุ่มกับเจ้าหญิงไปถึงฝั่งของแม่น้ำซึ่งเป็น หน้าผาสูงชันมาก เมื่อหมดทางหนีเขาทั้งสองคิดว่าจะต้องถูกนำตัวไปลงโทษสถานหนัก อาจถึงขั้นประหารชีวิตก็ได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจตัดสินใจได้ เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาทุกขณะ เจ้าหญิงซึ่งนั่งข้างหลังม้าจึงเปลี่ยนมานั่งข้างหน้าเสียเอง เธอเป็นผู้ถือบังเหียนม้าแล้วให้วิ่งลงมาจากหน้าผาทันที ทำให้ทั้งสองคนเสียชีวิต ณ ที่นั้น

          แต่นั้นมาผาสูงนั้นก็ได้ชื่อว่า "ผาวิ่งชู้" และสิ่งต่าง ๆ ที่หล่นมาจากหน้าผารวมทั้งชื่อของคนทั้งสองก็เป็นชื่อเรียกแก่งหลาย ๆ แก่งในลำน้ำปิง เป็นที่ระลึกถึงความรักของคนทั้งสองซึ่งถือว่าความรักเป็นศาสนาอันบริสุทธิ์

          ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

          เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากล่าวถึงและเศร้าด้วย ใครไปที่นั่นต้องนึกถึงนิยายของหญิงชายคู่นี้ซึ่งรักกันแล้วต้องมาจบชีวิตที่ผานี้ คนยังไม่มีอิสระพอต้องถือตามประเพณีอย่างเคร่งครัด เมื่อฝ่าฝืนต้องมีโทษ ทำให้ขาดอิสรภาพในตัวเอง

9. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง ควายลุงคำ


          ลุงคำอยู่บ้านนอก ไม่เคยไปติดต่อธุระการงานกับทางอำเภอเลย ดังนั้นเรื่องราวหรือวิธีปฏิบัติที่ทางอำเภอได้กระทำไปอย่างไรแกจึงไม่เข้า ใจ แต่แก่เป็นคนที่สนใจ เอาใจใส่สอบถามเขาอยู่เสมอ

          ครั้งหนึ่ง ลุงคำมีกิจธุระจะเป็นต้องไปติดต่อกับทางอำเภอ เนื่องจากแกมีควายสองตัว เมื่อควายโตแล้วจะต้องนำไปทำตั๋วพิมพ์รูปพรรณ เพื่อแสดงกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ แกตื่นแต่เช้า ห่อข้าวและจูงควายทั้งสองไปยังที่ทำการอำเภอ เพราะกรนำควายไปแต่เช้าความไม่เหนื่อย ควายทั้งคู่นี้ ตัวหนึ่งเขาบี้ (คือเขาเกเกตกลงข้างล่าง) เป็นตัวผู้ อีกตัวหนึ่งเป็นตัวเมีย เขากิ (เขาสั้นไม่โง้ง)

          เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่ทางอำเภอก็มาตรวจขวัญและกรอกลงในแบบพิมพ์ เสร็จแล้วจึงมอบตัวพิมพ์รูปพรรณนั้นให้แก่ลุงคำไป ลุงคำรับตั๋วพิมพ์มายืนอ่านดูหลายเที่ยว ป้ามาเมียลุงคำยืนดูอยู่จึงขอดูตั๋วพิมพ์นั้นบ้าง พอดูรูปในตั๋วพิมพ์กับดูควายของแกแล้ว ป้ามาร้องออกมาดัง ๆ ว่า

          "ป้อละอ่อนเหย มันท่าจะบ่าใจ้ควายเฮาเหียแล้ว" (พ่ออีหนู มันคงจะไม่ใช่ควายของเราเสียแล้ว)

          ลุงคำสงสัยรีบถามออกไปว่า "มันเป๋นจะใดแม่ละอ่อน" (มันเป็นอย่างไรรึแม่อีหนู)

          ป้ามา รีบบอก "ควายเฮาเขาบี้กับเขากิลู่ ควายในฮูปเขาว้องตึงมวน" (ควายของเราเขาเกกกับเขาสั้นนี่ ดูควายในรูปซิ เขาโง้งทั้งสองตัว)

          ลุงคำ พิจารณาดูรีบตอบว่า "เอ่อ แต้ ๆ ข้าจะไปหาเสมียนก่อน" (เออ จริง ๆ ซิ ฉันจะต้องไปถามเจ้หน้าที่ก่อน แกรีบเดินไปหาเจ้าหน้าที่ทันที)

          พอไปถึงแกรีบบอกพนักงานตั๋วพิมพ์รูปพรรณ ครั้นจะออกเป็นภาษาพื้นเมืองก็เกรงว่าเสมียนจะไม่เข้าใจ จึงพูดภาษากลางว่า

          "คุณ คุณ ซวาย (ควาย) ของผมเขาบี้กะเขากิ แต่นี่มันเขาว้องนี่ครับ "

          เสมียนเมื่อได้ยินาคำตอบบอกดังนั้น จึงค่อย ๆ กระซิบว่า "ลุง เบา ๆ หน่อยอย่าพูดดัง คนอื่นจะได้ยิน"

          ลุงคำคิดว่าตนได้ทีจึงตอบดัง ๆ ว่า

          "จะเบาจะใด ควายเขากิเป็นเขาว้อง มันตึงเบาบ่าได้ มันบ่าใจ่ลู่ " (จะให้พูดเบา ๆ ได้ อย่างไรควายเขาสั้นมาทำตั๋วเป็นเขาโง้งนี่ ไม่ย่อมละเพราะมันไม่ใช่นี่)

10. นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่อง ย่าผันคอเหนียง


          กาลก่อน ณ หมู่บ้านตั้งอยู่ในชนบท ไกลออกไปจากเมืองหลวง ชาวบ้านมีอาชีพทำไร่ ทำนาหาของป่ามาขาย หมู่บ้านแห่งนี้มีหญิงสาวรูปร่างอาภัพผู้หนึ่ง นางไม่มีชายหนุ่มผู้ใดไปเที่ยวหาเลยเนื่องจากนางคอพอกโตใหญ่น่าเกลียด ชาวบ้านเรียกนางว่า "อีตาคอเหนียง"

          ทุก ๆ คืนแม้ว่านางจะนั่งปั่นฝ้ายอยู่กลางลานบ้านรอหนุ่ม ๆ มาเที่ยวหา ก็ปรากฏว่าไม่มีใครมาหานางเลย แม้ว่าจะได้ยินเสียงร้องเพลงและเล่นดนตรีของพวกหนุ่ม ๆ ที่ผ่านมา นางคิดว่าเขาคงจะแวะมาเที่ยวหาตน แต่ปรากฏว่าหนุ่มเหล่านั้นกลับเลยไปบ้านอื่นเสียทุก ๆ คราว

          เมื่อเป็นเช่นนี้ นางสาวตารู้สึกน้อยใจ อยากจะตายเสียให้พ้นความชอกช้ำใจ วันหนึ่งขณะที่นางเห็นปลอดคน จึงจัดการตระเตรียมเครื่องใช้ตั้งใจว่าจะเข้าไปตายในป่าเสียให้รู้แล้วรู้ รอดไป บางทีความตายอาจช่วยให้ตนพ้นทุกข์ไปได้

          นางมุ่งหน้าออกเดินทางเข้าป่าขึ้นเขาไป โดยตั้งใจเด็ดขาดว่าเป็นตายร้ายดีจะไม่ยอมกลับบ้าน วันที่ 14 นางบรรลุถึงกลางดงลึก ซึ่งนางเลือกว่าที่นี่คงจะไม่มีใครตามมารบกวน นางคงจะตายอย่างเป็นสุข

          เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นางล้มฟุบเป็นลมอยู่กลางดงนั้นเอง ขณะที่นางนอนสลบไสลอยู่ที่นั้น คืนวันนั้นเป็นคืนที่เหล่าผีป่าทั้งหลายตระเตรียมยืมข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการจัดงานเลี้ยงดูกันตามประเพณีของตน

          ผีตนหนึ่งเดินมาเห็นคอพอกของนางสาวตา มันคิดในใจว่า เราอุตส่าห์ยืมหม้อแกงที่ไหน ๆ ก็หาไม่ได้ เพิ่งมาพบที่นี่ ผีจึงตรงคว้าเอาคอพอกของนางไป พร้อมกับพูดว่า "แม่นาง ข้าขอยืมหม้อแกงหน่อยนะ เสร็จธุระแล้วจะเอามาส่งให้"

          นางสาวตารู้สึกตัวตื่นขึ้น เอามือคลำต้นคอของตนรู้สึกว่าคอพอกของตนที่เป็นอยู่นั้น ขณะนี้หายไปสิ้น นางรู้สึกดีใจยิ่งนัก รีบวิ่งบ้างเดินบ้างจนถึงบ้านโดยไม่เหน็ดเหนื่อย พอถึงบ้านก็เล่าเรื่องราวทั้งหลายให้เพื่อน ๆ ฟัง

          เพื่อน ๆ ที่ทราบเรื่องคอพอกของสาวตาหาย ต่างพากันมาซักถามจนรู้สึกเรื่องราว ณ ที่นั้น มีหญิงสาววัยกลางคนผู้หนึ่งชื่อ "ผัน" แกก็คอพอกเหมือนกัน แต่ไม่ได้โตใหญ่เท่าของสาวตา นางเองต้องการอยากให้คอพอกของตนหาย นางเฝ้าซักไซ้ไล่เลียงจนทราบความจริง

          นางจึงออกเดินเข้าป่าไป เป็นเวลาร่วม ๆ สิบวัน จนถึงป่าที่นางสาวตาไปนอนสลบไสล ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียนางจึงแวะพักนอนกลางวันกลางทางนั่นเอง เมื่อผีมาดูนางสาวตาไม่พบ มันเห็นหญิงวัยกลางคนนอนแทนที่ จึงส่งหม้อนั้นคืน พอรุ่งเช้านางผันตื่นขึ้น เมื่อเอามือลูบคลำคอของตน แทนที่คอพอกของตนจะหาย กลับโตกว่าเดิมขึ้นอีกมากมาย นางร้องไห้เสียใจที่ตนเสียแรงอุตส่าห์ดั้นด้นเข้าป่ามาทั้งทีอยากจะให้คอพอก หาย กลับกลายโตยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

          เมื่อเป็นเช่นนี้นางไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อหมดหนทางแก้ ประกอบกับนางคิดไว้ว่าวัยของตนก็ล่วงเข้ากลางคนแล้ว แม้ว่าคอจะพอกก็ไม่เห็นเป็นอะไร สู้ตนพยายามทำความดีแล้วความดีนั้นคงจะสนองให้นางเป็นสุขใจได้บ้างกระมัง

          นับแต่นั้นมา นางพยายามประกอบกรรมดี ช่วยเหลือกิจกรรมงานของชาวบ้านโดยไม่เห็นเหน็ดเหนื่อย ชาวบ้านทุกคนถึงกับออกปากสรรเสริญคุณงามความดีที่นางได้ปฏิบัติไป ถึงแม้ว่านางจะตายไปหลายปีแล้วก็ตาม ชาวบ้านยังกล่าวขวัญถึงนางเสมอว่า "ใจบุญเหมือนย่าผันคอเหนียง"

          ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้  

          - โชควาสนาของคนนั้นไม่เหมือนกัน และย่อมกระทำได้ทุกคนหากมีความตั้งใจจริง

          - คติ 
"แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้"


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
dek9.com
nitarn.com 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ สนุกเพลิดเพลินได้คติสอนใจ อัปเดตล่าสุด 10 เมษายน 2567 เวลา 15:09:06 1,081,884 อ่าน
TOP
x close