จาตุรนต์ ฉายแสง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang
จาตุรนต์ ฉายแสง โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุการควบหลายตำแหน่งของรัฐมนตรี ทำให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ
วันนี้ (15 กันยายน 2557) นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang ถึงกรณีเรื่องไมโครโฟนราคาแพงของคณะรัฐมนตรี ที่สอบสวนไม่ได้ และการประท้วงของคณบดีท่านหนึ่งโดยการเอาปี๊บคลุมหัว เนื่องจากการนั่งควบ 2 ตำแหน่งของ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ว่า ปัญหาเหล่านี้อธิบายง่าย ๆ ว่าขณะนี้บ้านเมืองอยู่ใน "ภาวะไม่ปกติ" โดยมีใจความดังนี้...
"ความเห็นเรื่องควบสองตำแหน่งหรือหลายตำแหน่ง
มีกรณีตัวอย่างที่กำลังเป็นที่สนใจเกี่ยวกับปัญหาการควบสองตำแหน่งหรือหลายตำแหน่งอยู่อย่างน้อย 2 กรณีคือกรณีไมค์แพงกับกรณีคณบดีเอาปี๊บคลุมหัวไปประชุม
กรณีไมค์แพงสะท้อนปัญหานี้ได้อย่างดีมาก ท่านที่ต้องการอ่านความเห็นโดยละเอียดในเรื่องไมค์แพงกรุณาอ่านบทความ ความเห็นของผมในเรื่องนี้ได้
พูดเฉพาะที่เกี่ยวกับปัญหาการควบตำแหน่งก็คือเนื่องจากเรื่องนี้ผู้ที่รับผิดชอบอาจมีทั้งระดับอธิบดีและปลัดกระทรวง ผู้ที่มีอำนาจตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงและกรรมการสอบสวนวินัยจึงได้แก่รัฐมนตรี ในกรณีนี้ก็คือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ปัญหาคือหากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วคณะกรรมการพบว่าควรตั้งกรรมการสอบสวนวินัยปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีจะทำอย่างไร จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนตนเองได้หรือ
ปัญหาอาจเกิดขึ้นก่อนนั้นแล้วคือคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะกล้าเสนอให้สอบสวนรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือ
การเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และปลัดสำนักนายกฯ โดยคน ๆ เดียวกันในเวลาเดียวกันจึงเป็นขัดกันซึ่งผลประโยชน์และอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจนถึงขั้นที่ไม่สามารถให้กระทำได้มาตั้งแต่ต้น
กรณีที่ 2 กรณีที่คณบดีท่านหนึ่งเอาปี๊บคลุมหัวไปประชุมเนื่องจากไม่เห็นด้วยที่อธิการบดีควบตำแหน่งรัฐมนตรีในเวลาเดียวกัน
การเป็นอธิการบดีและรัฐมนตรีในเวลาเดียวกันย่อมทำให้มีเวลาไม่เต็มที่ในการทำงานในแต่ละตำแหน่ง นั่นประการหนึ่ง
กรณีนี้อาจไม่มีปัญหาเรื่องการแต่งตั้ง โยกย้ายหรือการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยเหมือนกรณีแรก แต่ที่จะเป็นปัญหาในทางหลักการอย่างมากก็คือการที่มีรัฐมนตรีมาเป็นอธิการบดีซึ่งตำแหน่งอธิการบดีเป็นตำแหน่งที่ต้องการความเป็นอิสระจากการเมือง
ผู้ที่ควบสองตำแหน่งอาจไม่ใช่นักการเมืองในความหมายที่สังกัดพรรคการเมืองหรือต้องลงเลือกตั้งแต่ก็เป็นข้าราชการการเมือง
ในทั้งสองกรณีมีปัญหาร่วมกันในทางหลักการคือการที่ข้าราชการประจำมาเป็นรัฐมนตรีโดยไม่ได้ลาออกจากการเป็นข้าราชการประจำเสียก่อน หลักการที่ว่าคือหลักการประชาธิปไตยที่บอกว่าให้ประชาชนเลือกผู้แทนของตนขึ้นมากำกับควบคุมการทำงานของข้าราชการประจำ ไม่ใช่ให้ข้าราชการประจำบริหารปกครองกันไปโดยประชาชนไม่เกี่ยวหรือไม่มีสิทธิ์มีเสียง
นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาในเรื่องการแบ่งความรับผิดระหว่างผู้ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับให้การทำงานเป็นไปตามนโยบายซึ่งได้แก่รัฐมนตรีซึ่งเป็นข้าราชการประจำกับผู้ที่มีหน้าที่ในการนำนโยบายไปปฏิบัติซึ่งได้แก่ข้าราชการประจำ
ปัญหาเหล่านี้มักถูกอธิบายง่าย ๆ ว่าขณะนี้บ้านเมืองอยู่ใน "ภาวะไม่ปกติ"
จึงควรตั้งคำถามว่าเราจะใช้คำว่า "ภาวะไม่ปกติ" ครอบคลุมถึงเรื่องใดบ้างกันแน่
ผมขอพูดถึงเพียง 2 กรณีเท่านี้ก่อน กรณีอื่น ๆ ยังไม่ขอพูดถึง ใครนึกถึงกรณีใดได้อีกก็นึกกันไปเองก่อนนะครับ"