กรมราชทัณฑ์ออก 10 กฎเหล็กกวาดล้างโทรศัพท์มือถือ-ยาเสพติด
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์
กรมราชทัณฑ์ออก 10 กฎเหล็กกวาดล้างโทรศัพท์มือถือ-ยาเสพติด ในเรือนจำ ขีดเส้นตาย 10 พ.ย. นี้ สั่งเปลี่ยนกุญแจห้องขังให้ล็อกจากภายนอก และห้ามวิทยุบอกภายในเรือนจำก่อนตรวจค้น
หลังจากที่ พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมมอบนโยบายผู้บริหารหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม พร้อมกำชับให้กรมราชทัณฑ์เร่งปราบปรามปัญหาผู้ต้องขังในเรือนจำลักลอบใช้โทรศัพทมือถือสั่งการค้ายาเสพติดจากในเรือนจำไปยังภายนอกเรือนจำอย่างเด็ดขาด โดยหากดำเนินการไม่ได้จะพิจารณาโยกย้ายอธิบดีกรมราชทัณฑ์ตามที่เป็นกระแสข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (31 ตุลาคม 2557) นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการและแนวทางปฏิบัติการ การป้องกันและปราบปรามการใช้เรือนจำและทัณฑสถานเป็นฐานค้ายาเสพติด ให้ผู้บัญชาการเรือนจำ และผู้อำนวยการทัณฑสถานทั่วประเทศใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ โดยมีระยะเวลากำหนดและมาตรการลงโทษด้วยทั้งหมด 10 ข้อ อาทิ
- ให้เรือนจำทัณฑสถาน ตรวจค้นยาเสพติด โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ไม่ให้มีการลักลอบหรือมีไว้ภายในเรือนจำอย่างเด็ดขาด ภายในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้
- ให้เรือนจำสำรวจผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังในเรือนจำและทัณฑสถานในปัจจุบันว่า มีผู้ต้องขังรายใดบ้างที่จัดอยู่ในกลุ่มผู้ต้องขังรายสำคัญ แล้วให้รายงานกรมราชทัณฑ์ โดยให้เพิ่มรูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว ของผู้ต้องขังรายสำคัญ หน้าตรงไม่สวมแว่น หรือหมวก ไม่ไว้หนวดหนวดเคราด้วย
- ให้จัดทำรายงานพฤติการณ์ ความประพฤติของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ที่เสี่ยงจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
- ในกรณีเรือนจำและทัณฑสถานขออนุญาตย้ายผู้ต้องขังที่มีพฤติการณ์ในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดหรือการสั่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ลักลอบเข้าไปใช้ในเรือนจำ เมื่อกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ย้ายแล้ว เรือนจำจะต้องรับย้ายผู้ต้องขังที่กรมราชทัณฑ์พิจารณาย้ายมาทดแทนในจำนวนที่เท่ากัน
- ภายหลังวันที่ 10 พฤศจิกายน กรณีมีการเข้าจู่โจมตรวจค้นที่ดำเนินการโดยกรมราชทัณฑ์และตรวจพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซิมการ์ด ตลอดจนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือตรวจพบยาเสพติดในปัสสาวะผู้ต้องขังที่เข้ามาอยู่ในเรือนจำเกิน 1 เดือนขึ้นไปแล้วพบสารเสพติด จะใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้
- หากพบครั้งที่ 1 จะว่ากล่าวตักเตือนผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถานและผู้อำนวยการส่วน หรือหัวหน้าฝ่าย สำหรับเรือนจำหรือทัณฑสถานที่ไม่มีผู้อำนวยการส่วนทุกคนเป็นลายลักษณ์อักษร
- หากพบครั้งที่ 2 จะพิจารณาปรับย้ายผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถาน และผู้บริการส่วนหรือหัวหน้าฝ่าย สำหรับเรือนจำหรือทัณฑสถานที่ไม่มีผู้อำนวยการส่วนทุกคน และตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่ามีการปล่อยปละละเลยหรือไม่
- ให้เรือนจำและทัณฑสถานพิจารณาเสนอกรมราชทัณฑ์เพื่อมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่เรือนจำหรือทัณฑสถานอื่นเพื่อเป็นการเพิ่มสมรรถนะได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของทุกรอบการเสนอ โดยกำหนดรอบให้ปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรก ให้เสนอภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน และหากจะขอเสนอเพิ่มเติม รายงานครั้งต่อไปเมื่อครบทุก 3 เดือน จนกว่ากรมราชทัณฑ์จะมีคำสั่งยกเลิก
- ให้เรือนจำและทัณฑสถานทุกแห่งอำนวยความสะดวกและให้ความร่วมมือในการเข้าตรวจค้นจู่โจมภายในและภายนอกรอบบริเวณเรือนจำและทัณฑสถาน แล้วแต่กรณีของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมราชทัณฑ์ หากเรือนจำหรือทัณฑสถานใดไม่อำนวยความสะดวกในการกระทำใด ๆ อันเป็นอุปสรรคต่อการเข้าตรวจค้น ให้ถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ จะดำเนินการทั้งทางปกครอง วินัย และทางอาญา เป็นต้น
- เพื่อให้การตรวจค้นจู่โจมของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมราชทัณฑ์และทัณฑสถานไม่เกิดอุปสรรค ให้ผู้บัญชาการเรือนจำหรือผู้อำนวยการทัณฑสถานสำรวจการใส่กุญแจประตูแดน เรือนนอน หรือประตูเข้าไปในเรือนจำทัณฑสถานในช่วงเวลากลางคืน หากพบว่าใส่กุญแจที่ต้องเปิดไขกุญแจจากภายในเรือนนอนหรือภายในเรือนจำ ให้ปรับปรุงแก้ไขให้ใส่กุญแจจากภายนอก มอบลูกกุญแจให้เวรผู้ใหญ่ พัศดีเวรกลางคืน หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุดภายในเรือนจำ เพื่อทำการเปิดประตูให้ชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าตรวจค้นตามเรือนนอนได้โดยสะดวกและรวดเร็ว และประชุมกำชับเจ้าหน้าที่ประตูเวรรักษาการณ์ภายนอก ห้ามใช้วิทยุสื่อสาร โทรศัพท์ แจ้งบอกเจ้าหน้าที่รักษาการภายในเรือนจำ หรือทัณฑสถานระหว่างชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าจู่โจมตรวจค้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากหัวหน้าชุด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องขังมีเวลาเพียงพอในการซุกซ่อนสิ่งของต้องห้ามได้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก