กระทรวงวัฒนธรรม เปิดตัวบุคคลในภาพ 9 ภาพรับเสด็จในหลวง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก กระทรวงวัฒนธรรม
กระทรวงวัฒนธรรม เปิดตัวบุคคลในภาพ 9 ภาพรับเสด็จในหลวง พร้อมเตรียมตีพิมพ์หนังสือประวัติบุคคลทั้ง 9 เพื่อแจกจ่ายให้แก่นักเรียน ประชาชน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตต่อไป
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศตามบุคคลในภาพ 9 ภาพ ที่เป็นเด็กและได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จอย่างใกล้ชิด ล่าสุด วันที่ 3 ธันวาคม 2557 นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) พร้อมด้วย ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัด วธ.นายดนุชา สินธวานนท์ รักษาการรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) นำบุคคลในภาพพระราชกรณียกิจที่หายากในอดีต ร่วมกันแถลงข่าวโครงการเผยแพร่ภาพยนตร์ตามรอยพระราชกรณียกิจ 365 วันนี้ในอดีตและตามหาบุคคลในภาพยนตร์ และบุคคลในภาพพระราชกรณียกิจที่หายากในอดีตภายใต้กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 5 ธันวาคม 2557
โดย นายวีระ เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรมสามารถตามหาบุคคลในภาพ 9 ภาพ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จอย่างใกล้ชิดได้จนครบแล้ว โดยหลังจากนี้จะทำการรวบรวมประวัติของบุคคลในภาพทั้ง 9 ภาพ เพื่อจัดทำเป็นหนังสือตีพิมพ์เผยแพร่กว่า 30,000 เล่ม และนำแจกจ่ายให้แก่ห้องสมุดต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียน ประชาชน นำเรื่องราวของบุคคลในภาพทั้ง 9 ภาพ ไปใช้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตต่อไป
ขณะที่ ศ.ดร.อภินันท์ กล่าวว่า ตามที่ วธ. ได้คัดเลือกภาพพระราชกรณียกิจจากหนังสือและเอกสารในโครงการพระราชดำริ จำนวน 9 ภาพ และมอบหมายให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลงพื้นที่ค้นหาบุคคลในภาพดังกล่าว ก็เพื่อนำเรื่องราวของบุคคลในภาพทั้ง 9 ภาพ มาเผยแพร่ เพื่อเป็นบุคคลตัวอย่างให้กับประชาชนทั่วไป ในการนำแนวคิดและประสบการณ์ต่าง ๆ สิ่งที่ก่อให้เกิดผลสำเร็จในการดำเนินชีวิต
นอกจากนี้ บุคคลในภาพทั้ง 9 ภาพ ยังได้เปิดเผยความรู้สึกที่ได้เคยมีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
โดยบาทหลวง วัชระ พฤกษาโรจนกุล บุคคลในภาพที่ 1 เปิดเผยว่า เป็นภาพดังกล่าวเป็นภาพแห่งความประทับใจในวัยเด็กของตน และในอดีตคุณแม่ได้ตัดภาพที่เคยลงหนังสือพิมพ์เก็บไว้แต่ก็ได้หายไป เนื่องจากตนและครอบครัวย้ายที่อยู่บ่อย แม้ปัจจุบันตนจะไม่มีภาพดังกล่าวอยู่ในครอบครองแต่ก็ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นยังอยู่ในใจเสมอมา
และในการดำเนินชีวิตของตนก็ยึดตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า การทำความดีไม่ต้องให้ใครรู้ ดังเช่นการปิดทองหลังพระนั้นมาโดยตลอด
ขณะที่ น.ส.ชื่นจิต หรุ่มประดิษฐ์ บุคคลในภาพที่ 2 กล่าวว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เคยมีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จอย่างใกล้ชิด และเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นมงคลแก่ชีวิตของตนและครอบครัว สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น ตนและครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่คุณพ่อได้พาไปรับเสด็จที่เพชรบุรีเมื่อพระองค์เสด็จผ่านได้ยกมือไหว้ทำความเคารพ และมองดูพระองค์ท่านจนเสด็จผ่านไป
ส่วน พญ.รังสิมา แสงหิรัญวัฒนา (แต่งชุดนักศึกษา) บุคคลในภาพที่ 2 กล่าวว่า รู้ปลื้มปีติที่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จ และที่ผ่านมาตนได้น้อมนำพระราชดำรัสมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งตนเองยินดีที่จะเสียสละเพื่อสนองงาน และจะทำงานรักษาพระสงฆ์ที่อาพาธอย่างสุดกำลัง และตนยังเชื่อว่าถ้าทุกคนทำงานดี ประเทศชาติจะเจริญตามพระบรมราโชวาท
นางอุษณีย์ หะยีแวดือเระ บุคคลในภาพที่ 3 กล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า จำได้ว่าเมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จถึงโรงเรียงร่มเกล้า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงถามพวกเราว่า เดินทางมาโรงเรียนอย่างไร กลุ่มพวกเราตอบว่า มากับรถทหารเพค่ะ พระองค์บอกว่า ไม่ต้องพูดเพค่ะก็ได้ ให้พูดค่ะ
แล้วพระองค์ทรงถามอีกว่า นำเงินมาโรงเรียนเท่าไร นักเรียนในกลุ่มบางคนตอบว่า 5 บาทค่ะ ตอนนั้นฝนตกหนัก ลมพัดแรงทั้งสองพระองค์ทรงเยี่ยม ทักทายนักเรียนเพียงครู่เดียว แล้วพระองค์เสด็จกลับ
ด้านนายขวี อินธิแสง บุคคลในภาพที่ 5 กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสถึงความเดือดร้อนที่ชาวบ้านประสบ ซึ่งได้แก่ มีน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการทำเกษตรกรรมของประชาชน โดยมีรับสั่งให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแยก บ้านก๊กส้มโฮง ตำบลกุสุมาลย์ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ให้แก่ประชาชนในพื้นที่
และที่ผ่านมาตนได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องการกินอยู่อย่างพอเพียงมาปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเสมอมา
ขณะที่นางเฉลียว สุขสีแดง บุตรีของนายขาล แดงขำ ซึ่งเป็นบุคคลในภาพที่ 7 เล่าว่า พ่อของตนได้เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ในหลวงเสด็จ พ่อของตนจะไปรับเสด็จที่วัดพระพุทธ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าเข้าไปไม่ได้แล้ว พ่อของตนจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน แต่พอมาถึงบ้านและกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีรถมาจอดเต็มหน้าบ้าน ตอนนั้นพ่อของตนตกใจมาก และเมื่อออกไปดูที่หน้าบ้าน พ่อของตนก็รู้ว่า ในหลวงขับรถมาเอง แล้วได้เสด็จไปตามบริเวณบ้าน เพื่อดูนาข้าว และเสด็จมาที่บ่อน้ำแล้วตรัสว่า ใช้ดื่มได้ไหมเพราะน้ำแดง พ่อของตนตอบว่า ใช้อีกบ่อข้างในบ้าน ในหลวงก็เสด็จไปดูบ่อน้ำในบ้าน ซึ่งปัจจุบันบ่อน้ำนี้ก็ยังใช้อยู่ทุกวันนี้
นายประพันธ์ ภูสุดแสวง บุคคลในภาพที่ 9 กล่าวว่า ขณะนั้นตนรับราชการในตำแหน่งพัฒนาชุมชน ได้เฝ้ารับเสด็จฯพร้อมชาวไร่ดอนขุนห้วย เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และที่ดินเป็นลูกรังไม่สามารถเพาะปลูกได้อย่างเต็มที่ พระองค์ทรงกางแผนที่ และรับสั่งว่าพื้นที่บริเวณน้ำน่าจะทำอ่างเก็บน้ำสำหรับการเกษตรได้ และทรงมีพระราชดำริให้ทำจากสิ่งที่มีอยู่ ให้ชาวไร่ได้ปรับปรุงดินโดยใช้ปุ๋ยหมัก เพื่อพัฒนาดิน ประเทศฝรั่งมีหิมะยังปลูกพืชได้ และทำอุตสาหกรรมหากเขาเกิดภัยพิบัติ เรายังมีพื้นดินทำกินได้ ตนรู้สึกประทับใจในพระราชจริยวัตรที่พระองค์ทรงเสด็จมาช่วยเหลือประชาชนในพื้นดินในพื้นที่ที่ยากลำบาก
และหากตนไม่ได้อยู่ในวันนั้น ก็คงจะไม่เห็นว่าพระองค์ทรงลำบาก และทรงงานเพื่อประชาชนแม้อยู่ห่างไกล ตนจึงมีความตั้งใจและทุ่มเทตลอดชีวิตการทำงาน ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และช่วยประชาชนอยู่ให้ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
