สรุป 10 ข่าวเด่น ประเด็นร้อน ประจำปี 2557
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ย้อนอ่าน 10 เรื่องเด่น ประเด็นดัง ที่เป็นกระแสและเป็นข่าวที่สังคมให้ความสนใจมากที่สุดในรอบปี 2557 มาดูกันว่าข่าวไหน เหตุการณ์ใด ติดอันดับบ้าง
เดือนมกราคม
ปิดกรุงเทพฯ 13 ม.ค. - กปปส. ประกาศลุยเผด็จศึกรัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมวลมหาประชาชนจะออกมาร่วมขบวนตามเวทีต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถกดดันรัฐบาลได้ ม็อบ กปปส. จึงเริ่มปฏิบัติการดาวกระจายไปตามสถานที่ราชการต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องให้ข้าราชการหยุดงาน เลิกรับใช้ระบอบทักษิณ พร้อมออกมาร่วมชุมนุม แต่ในช่วงนั้นก็เกิดเหตุระเบิดและยิงใส่ม็อบอยู่หลายครั้งจนมีผู้บาดเจ็บและ เสียชีวิตโดยที่ส่วนใหญ่ก็จับมือใครดมไม่ได้
ภาพประกอบจาก @7_preysor
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ส่อเค้ารุนแรงขึ้น รัฐบาลจึงงัดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาหวังใช้ควบคุมม็อบ แต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก สถานการณ์กลับมาวุ่นอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลประกาศเดินหน้าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ อันเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจ เนื่องจากต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง นั่นจึงเป็นที่มาของการเคลื่อนขบวนเข้าไปขัดขวางการเลือกตั้งในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคใต้ และ กทม. จนต้องยกเลิกการเลือกตั้งล่วงหน้าไปหลายหน่วย และยังเกิดเหตุปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ หนึ่งในนั้นคือ นายสุทิน ธาราทิน แกนนำม็อบ กปท. ที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะปราศรัยอยู่บนรถที่บริเวณหน้าวัดศรีเอี่ยม
สุดท้ายแล้วการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ก็ผ่านพ้นไป ท่ามกลางความหนักใจของ กกต. ที่มีหลายหน่วยไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ทำให้มีผู้มาใช้สิทธิเพียง 45.84% ที่ประชุม กกต. จึงมีมติให้จัดการเลือกตั้งทดแทนขึ้นใหม่เฉพาะเขตที่มีปัญหาในช่วงปลายเดือน เมษายน แต่ยังไม่ทันจะได้เลือกตั้งทดแทน ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีมติ 6 ต่อ 3 ให้การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะ เพราะการที่มี 28 เขต ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ก็เท่ากับไม่ได้เป็นการจัดเลือกตั้งพร้อมกันทั่วราชอาณาจักร ซึ่งขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
นักวิชาการ รวมทั้งนักการเมืองแต่ละฝ่ายต่างออกมาแสดงความคิดเห็นว่า คำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ยิ่งเป็นการล็อกประตูทางออกทุกทิศทาง และนั่นก็ทำให้ประเทศไทยเดินมาถึงทางตันแล้ว ขณะที่ฝ่าย กปปส. เอง เมื่อเห็นว่ารัฐบาลยังไม่ยอมแพ้ ในที่สุด นายสุเทพ จึงประกาศกร้าวขอทวงคืนอำนาจอธิปไตยด้วยการนัดชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้ายเพื่อ ชาติในวันที่ 26 พฤษภาคม ซึ่งครั้งนี้หากยังไม่ชนะ จะขอมอบตัวในวันที่ 27 พฤษภาคมทันที เป็นการจุดกระแสผู้สนับสนุนได้อีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางข่าวลือแพร่สะพัดว่าอาจจะเกิดการนองเลือดขึ้น
อย่างไรก็ดี คนไทยยังไม่ทันจะได้เห็นบทสรุปของฉากนี้ ก็เกิดการรัฐประหารขึ้นเสียก่อนในวันที่ 22 พฤษภาคม ก่อนวันที่ม็อบ กปปส. กำหนดให้เป็นวันเผด็จศึกเพียง 4 วัน
- ติดตามข่าวปิดกรุงเทพ ทั้งหมดคลิกเลย
- ติดตามข่าว กปปส. ทั้งหมด คลิกเลย
- ติดตามข่าวเลือกตั้ง 2557 ทั้งหมด คลิกเลย
- ติดตามข่าว กปปส. ทั้งหมด คลิกเลย
- ติดตามข่าวเลือกตั้ง 2557 ทั้งหมด คลิกเลย
กลายเป็นคลิปร้อนแรงในชั่วข้ามคืน เมื่อวงโยธวาทิตแม็กซ์ เพอร์คัชชั่น เธียเตอร์ ของโรงเรียนสตรีวิทยา 2 ได้เดินทางไปพบ ตัน ภาสกรนที นักธุรกิจชื่อดัง ในช่วงเย็นของวันที่ 23 มีนาคม 2557 เพื่อขอยืมเงิน 3 ล้านบาทเป็นการด่วน เนื่องจากต้องนำไปจ่ายเป็นค่าตั๋วเครื่องบินในการเดินทางไปแข่งขัน "ดรัมไลน์โลก" ที่สหรัฐอเมริกา ในช่วงกลางเดือนเมษายน ซึ่งวงโยฯ ทั้งวงตัดสินใจปักหลักอยู่จนเช้า กระทั่งคุณตันมอบเงินให้ พร้อมตักเตือนขอให้เป็นกรณีสุดท้าย แต่ภาพที่ปรากฏกลับทำให้สังคมวิจารณ์ว่า วงโยฯ ใช้วิธีแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง เพราะเท่ากับไปกดดันขอเงินจากคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย
เรื่องราวที่เกิดขึ้นยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อเหล่านักสืบไซเบอร์ช่วยขุดคุ้ยข้อมูลและพบความไม่ชอบมาพากลมากมาย ทั้งเรื่องรายการที่เดินทางไปแข่งขัน, พบข้อมูลเด็กวงโยฯ ทัวร์ยุโรปก่อนไปแข่ง แถมยังรับพรีออร์เดอร์หิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม แต่ที่อึ้งที่สุดก็คือ มีการแชร์คลิปเสียงคล้ายผู้อำนวยการโรงเรียนกำลังวางแผนกับวงโยฯ ไปไถเงินจากคุณตัน จนถูก สพฐ. สั่งสอบด่วน
ภายหลัง นายพชรพงศ์ ตรีเทพา ผอ. สตรีวิทยา 2 ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงของจริง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ยุให้เด็กไปขอเงิน แต่เด็กคิดและทำกันเอง เรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้ศิษย์เก่าจำนวนไม่น้อย รวมทั้งเครือข่ายผู้ปกครองที่เสียงแตก ทั้งสนับสนุนและคัดค้าน จนในที่สุด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 (สพม.2) ก็ได้มีคำสั่งให้ นายพชรพงศ์ ไปช่วยราชการในเขตพื้นที่ชั่วคราว เพื่อรอการสอบสวนต่อไป
เดือนเมษายน
เปิดฉากทีวีดิจิตอล ปมร้อนจอดำ บนเกมธุรกิจ?
แต่อีกประเด็นหนึ่งที่คนให้ความสนใจกันมาก ก็คือกรณีที่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 กสท. มีมติให้ฟรีทีวี 6 ช่องเดิม สิ้นสุดการเป็นโทรทัศน์ระดับชาติตามประกาศ Must Carry นับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ดังนั้นจึงไม่สามารถออกอากาศในระบบดาวเทียมและเคเบิลได้อีก ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหากับช่อง 5, 7, 9, 11 และไทยพีบีเอส ที่นำไปออกอากาศคู่ขนานในระบบดิจิตอลได้ เพราะมีการขอใบอนุญาตแล้ว เว้นแต่ช่อง 3 ที่แม้จะประมูลทีวีดิจิตอลได้ถึง 3 ช่อง แต่ทางช่องกลับให้เหตุผลว่า บริษัทที่ประมูลทีวีดิจิตอลได้เป็นคนละบริษัทกับที่ได้สัมปทานในช่อง 3 อนาล็อกเดิมอยู่ จึงติดปัญหาที่ข้อกฎหมาย นำมาซึ่งปัญหา "จอดำ" ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่รับชมช่อง 3 ผ่านทางระบบดาวเทียมและเคเบิล
เรื่องดังกล่าวมีการประชุมหาทางออกอยู่หลายครั้ง เนื่องจากไม่ได้ข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ จนในที่สุดแล้ว กสท. ก็เป็นฝ่ายยอมถอย ด้วยการมีมติให้ช่อง 3 อนาล็อกออกอากาศคู่ขนานได้เหมือนช่องอื่น ๆ ซึ่งก็ทำให้ช่อง 7 ยื่นฟ้อง กสท. ในเวลาต่อมา เนื่องจากมองว่าการที่ยอมช่อง 3 เช่นนี้ ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลรายอื่น
นอกจากนี้ กสท. และ กสทช. ยังมีกรณีปัญหากับบริษัท อาร์เอสฯ ผู้ได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งในตอนแรกผู้ที่จะชมฟุตบอลโลกได้ต้องซื้อกล่องรับสัญญาณของอาร์เอสเท่า นั้น แต่ภายหลัง กสท. ได้สั่งให้ อาร์เอส ปล่อยสัญญาณถ่ายทอดสดบอลโลก ทางฟรีทีวีทุกแมตช์ แม้จะอนุมัติเงินชดเชยให้กว่า 369 ล้านบาท แต่ก็ทำให้อาร์เอสสูญเสียรายได้ทางธุรกิจอย่างมหาศาล จึงได้ส่งทนายยื่นฟ้อง กสท. ด้วยเช่นกัน
เดือนพฤษภาคม
ธรณีพิโรธครั้งใหญ่ สะเทือนเชียงรายในรอบหลายร้อยปี
ที่น่าระทึกยิ่งกว่าก็คือหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายร้อยครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็มีแรงสั่นสะเทือนไม่น้อย สร้างความหวาดผวาให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่ไม่กล้ากลับเข้าบ้าน ก่อนที่ภายหลังนักวิชาการจะออกมาเตือนให้จับตาอีก 14 รอยเลื่อนที่ยังมีพลังซึ่งกระจายตัวอยู่ตาม 22 จังหวัด ที่อาจจะเกิดแรงสั่นไหวครั้งใหญ่ได้อีกในอนาคต
รัฐประหาร...ทางออกสุดท้าย (อีกครั้ง) บนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ความขัดแย้งทางการ เมืองที่อึมครึมมานานกว่าครึ่งปีเริ่มขมวดปมขึ้น เมื่อกลุ่ม นปช. นัดชุมนุมที่ถนนอักษะในช่วงที่ กปปส. ใกล้จะชุมนุมใหญ่ สร้างความหวั่นวิตกให้ประชาชนไม่น้อย เพราะเกรงว่าจะเกิดการปะทะกันขึ้น และไม่มีท่าทีที่ว่าการชุมนุมจะจบลง ทำให้เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคม พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก เพื่อควบคุมสถานการณ์
จากนั้นในวันถัดมา พล.อ. ประยุทธ์ จะได้เชิญตัวแทนคู่ขัดแย้งฝ่ายละ 5 คน เข้ามาเจรจาหาทางออกร่วมกัน แต่ยังไร้ผลสรุป ทำให้ต้องมีการเจรจาอีกครั้งในวันที่ 22 พฤษภาคม แต่ก็ยังตกลงกันไม่ได้ ผลสุดท้าย พล.อ. ประยุทธ์ ต้องประกาศเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศทันที โดยนำตัวผู้เข้าร่วมประชุมไปเก็บตัว และเมื่อการเจรจาไร้ผลสำเร็จ ผบ.เหล่าทัพ จึงแถลงเข้าควบคุมอำนาจผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เป็นผลให้ม็อบต่าง ๆ ต้องยุติการชุมนุมไปโดยปริยาย หลังจากทหารเข้าไปควบคุมพื้นที่
ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงถัดมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือ National Council for Peace and Order (NCPO) ซึ่งเป็นคำเรียกแทนกลุ่มคณะบุคคลที่ทำการควบคุมอำนาจ นำโดย พล.อ. ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้ออกประกาศและคำสั่งฉบับต่าง ๆ ที่สำคัญคือ การประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22.00-05.00 น. ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเก่า พร้อมกับคำสั่งเรียกหลายบุคคลเข้ามารายงานตัว และคำสั่งโยกย้ายแบบฟ้าผ่าในหลายตำแหน่ง
ในวันที่ 22 กรกฎาคม พล.อ. ประยุทธ์ ได้นำรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ขึ้นทูลเกล้าฯ โดยระบุให้ประธานสภานิติบัญญัติ (สนช.) เป็นผู้ทูลเกล้าฯ ชื่อนายกรัฐมนตรี และกำหนดให้จัดตั้งสภานิติบัญญัติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นการดำเนินการตามโรดแม็ป 3 ขั้น ซึ่งหลังจากได้สมาชิก สนช. ครบ 200 คนแล้ว ที่ประชุมก็ได้โหวตให้ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นประธาน สนช. ก่อนที่ สนช. จะเสนอชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ตามด้วยการตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาทำงาน โดยประกาศปฏิรูปประเทศอย่างเร่งด่วน 11 ด้าน
ภายหลังยังได้มีการคัดเลือกและแต่งตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งที่ประชุมได้เลือก นายเทียนฉาย กีระนันทน์ นั่งเก้าอี้ประธาน สปช. และหลังจากนี้ รัฐบาลนำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จะเดินหน้าตามโรดแม็ปปฏิรูปที่วางไว้ โดยมีคนจำนวนมากให้กำลังใจและเอาใจช่วยให้ดำเนินการสำเร็จ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า หนทางสร้างความปรองดองข้างหน้านั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่เป็นความพยายามที่หนักหนาสาหัสไม่ต่างจากเข็นครกขึ้นภูเขาเลย
- ติดตามข่าวรัฐประหาร 2557 ทั้งหมดคลิกเลย
- ติดตามข่าวต้านรัฐประหาร ทั้งหมด คลิกเลย
- ติดตามข่าวประยุทธ์ จันทร์โอชาทั้งหมด คลิกเลย
- ติดตามข่าวประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งหมดคลิกเลย
- ติดตามข่าวกฎอัยการศึก 2557 ทั้งหมด คลิกเลย
- ติดตามข่าว รัฐธรรมนูญชั่วคราว2557 ทั้งหมด คลิกเลย
- ติดตามข่าว ครม ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งหมด คลิกเลย
- ติดตามข่าว สนช. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทั้งหมด คลิกเลย
คดีน้องแก้มถูกข่มขืนบนรถไฟ จุดกระแสสังคมไทย ข่มขืนต้องประหาร
บทสรุปของเหตุการณ์การหายตัวไปอย่างปริศนาบนรถไฟขบวน 174 นครศรีฯ-กรุงเทพฯ ของ "น้องแก้ม" เด็กหญิงวัย 13 ขวบ กลับกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญที่น่าเศร้าสลดอีกเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
...6 กรกฎาคม 2557 พี่สาวของน้องแก้มได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.นพวงศ์ ว่าน้องสาวหายตัวไปจากรถไฟ โดยที่สภาพเตียงกระจุยกระจาย ผ้าคลุมเตียงหายไป จึงเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับน้อง ซึ่งในช่วงแรก ๆ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานกันว่า น้องแก้มอาจจะลงจากรถไฟไปเอง หรือนัดพบใครระหว่างทางก็เป็นได้ แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่ออีก 2 วันถัดมามีผู้พบศพน้องแก้มถูกทิ้งอยู่ในพงหญ้ารกร้างข้างทางรถไฟช่วงสถานี วังพงก์-สถานีเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำมาซึ่งการสืบสวนที่สร้างความตกตะลึงให้สังคม เมื่อพบว่าผู้ก่อเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพนักงานของการรถไฟฯ เสียเอง
คดีอันน่าสลดของน้องแก้มได้ปลุกกระแสให้คนในสังคมลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ฝ่าย ที่เกี่ยวข้องเพิ่มโทษคดีข่มขืน เป็น "ข่มขืนต้องประหาร" เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับผู้หญิง โดยมีแกนนำหลักอย่าง "บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี" อดีตนางสาวไทย เป็นผู้รวบรวมรายชื่อ และได้รับการตอบรับจากผู้คนทุกวงการ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีเสียงวิจารณ์พอสมควรในอีกมุมหนึ่งกับโทษทัณฑ์ดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะยิ่งเป็นการเพิ่มอันตรายให้กับเหยื่อ
ต่อมาในวันที่ 30 กันยายน ศาลจังหวัดหัวหินได้พิพากษาให้ประหารชีวิต ไอ้เกม ฐานฆ่าผู้อื่น โดยเห็นว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม สมควรลงโทษสถานหนัก และไม่มีเหตุให้บรรเทาโทษ เนื่องจากที่ยอมรับสารภาพนั้นเป็นเพราะจำนนต่อหลักฐาน ส่วนนายณัฐกร ที่มีความผิดฐานในการสนับสนุน ศาลได้สั่งจำคุก 4 ปี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้ยื่นอุทธรณ์ต่อไป ท่ามกลางการจับจ้องของสังคมที่ปรารถนาจะให้คดีนี้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญ และครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในสังคมไทย
เปิดโปงขบวนการอุ้มบุญ (ฤา บาป?) เส้นบาง ๆ ที่คั่นกลางศีลธรรม
คงไม่มีใครคาดคิดว่า การประกาศขอรับบริจาคเงินเพื่อนำมาเลี้ยงดู น้องแกรมมี่ ทารกอุ้มบุญวัย 6 เดือน ที่เว็บไซต์เดลี่เมลของอังกฤษรายงานไว้กลับเป็นกุญแจสำคัญที่เปิดล็อกให้ชาว โลกได้รับรู้ถึงขบวนการอุ้มบุญที่ซ่องสุมอยู่ในประเทศไทย
ย้อนไปเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 เดลี่เมล ได้รายงานเรื่องราวของ นางสาวภัทรมน จันทร์บัว หญิงไทยวัย 21 ปี ที่รับอุ้มบุญให้สามีภรรยาชาวออสเตรเลียคู่หนึ่ง แต่เมื่อคลอดลูกแฝดออกมา เอเยนซี่ได้นำเด็กหญิงแฝดเพียงคนเดียวไปส่งให้พ่อแม่ชาวออสซี่ แต่ทิ้ง "น้องแกรมมี่" แฝดชายซึ่งมีภาวะดาวน์ซินโดรมเอาไว้ให้เธอเลี้ยง เธอจึงประกาศระดมทุนเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูน้องแกรมมี่ให้มีชีวิตรอด ซึ่งเมื่อชาวเน็ตทั่วโลกทราบข่าว น้ำใจจากที่ต่าง ๆ ก็หลั่งไหลมายังน้องแกรมมี่ เช่นเดียวกับทางการออสเตรเลียที่เข้ามาช่วยเหลือเรื่องนี้
ขณะที่ครอบครัวออสเตรเลียได้ให้สัมภาษณ์ในตอนแรกอ้างว่าไม่รู้เรื่องลูกแฝด พร้อมกับปฏิเสธว่าน้องแกรมมี่เป็นบุตรชายอีกคน แม้สูติบัตรของลูกสาวจะระบุว่าเกิดวันเดียวกับน้องแกรมมี่ก็ตาม แต่ภายหลังเมื่อกระแสสังคมกดดันหนัก ทางครอบครัวจึงได้ให้สัมภาษณ์ในรายการทีวีระบุว่า พวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งน้องแกรมมี่ โดยยังเคยซื้อนมและผ้าอ้อมให้ ทำให้แม่อุ้มบุญชาวไทยออกมาโต้กลับอีกครั้งว่าพ่อชาวออสซี่ยังเคยจะให้เธอไป ทำแท้งด้วยซ้ำ แต่เพราะเธอไม่อยากทำแท้ง จึงคลอดน้องออกมา ก่อนที่พวกเขาจะทิ้งน้องแกรมมี่เอาไว้ และมาจนถึงขั้นนี้เธอจะไม่ยอมให้นำน้องแกรมมี่กลับไปเลี้ยงดูที่ออสเตรเลีย เด็ดขาด
อย่างไรก็ดี เรื่องราวของขบวนการอุ้มบุญไม่ได้จบลงแค่นี้ เมื่อในวันที่ 5 สิงหาคม 2557 เจ้าหน้าที่ได้บุกเข้าไปตรวจสอบห้องพักในคอนโดแห่งหนึ่งในซอยลาดพร้าว 130 หลังได้รับแจ้งว่าเป็นแหล่งขบวนการอุ้มบุญ ซึ่งก็น่าตกตะลึงเมื่อพบเด็กชาย-หญิงวัยแรกคลอดถึงอายุ 1 ขวบ จำนวน 9 คน รวมทั้งพี่เลี้ยงเด็กชาวไทย และผู้หญิงอายุ 20 ปีกำลังตั้งครรภ์อีก 1 คน อยู่ภายในห้อง
จากการตรวจสอบพบว่าเด็กทั้งหมดตั้งครรภ์จากน้ำเชื้อพ่อชาวญี่ปุ่น คือ นายชิเกตะ มิซูโตกิ อายุ 24 ปี ลูกชายเศรษฐีอันดับ 5 ของโลก ที่เดินทางเข้าออกประเทศไทยหลายครั้งในรอบ 2 ปี และเมื่อสืบสวนเจาะลึกก็พบว่า มีเด็กอุ้มบุญที่มาจากน้ำเชื้อของนายชิเกตะมากถึง 21 คน แบ่งเป็น 9 สัญชาติ นำมาซึ่งการดำเนินคดีกับ นพ.พิสิฐ สันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกที่รับทำอุ้มบุญครั้งนี้ ขณะที่ตัวนายชิเกตะยังไม่เดินทางมาให้ปากคำใด ๆ และขณะนี้คดีนี้ก็ยังไม่มีบทสรุป เพียงแต่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งลักลอบทำธุรกิจอุ้มบุญ ซึ่งหลายคนก็ยังคลางแคลงใจกับคำว่า "บุญ" หรือ "บาป"
เดือนกันยายน
เงื่อนงำปริศนา คดีฆ่านักท่องเที่ยวเกาะเต่า ความจริง? ที่โลกยังรอคำตอบ
กลางเดือนกันยายน มีผู้พบศพ น.ส.ฮันนาห์ วิธเทอร์ริดจ์ อายุ 23 ปี กับนายเดวิด มิลเลอร์ อายุ 24 ปี สองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ถูกฆาตกรรมเสียชีวิตบนหาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี และกลายเป็นข่าวสะเทือนขวัญที่ดังครึกโครมไกลถึงต่างประเทศ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยต้องเร่งสืบสวนหาตัวฆาตกรจนถึงขนาดปิดเกาะ ตรวจดีเอ็นเอผู้ชายบนเกาะเต่า แต่ใช้เวลาอยู่นานกว่าสัปดาห์ ก็ยังไม่พบตัวผู้ต้องสงสัย จนสื่อและชาวบ้านต่างกังวลว่าการสืบหาตัวฆาตกรในครั้งนี้คงจะคว้าน้ำเหลว ขณะที่บางสำนักก็วิเคราะห์ไปถึงขนาดที่ว่าคนร้ายอาจจะเป็นกลุ่มมาเฟียบนเกาะ เต่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสาวไปไม่ได้ นำมาซึ่งข่าวที่ว่า หน่วยสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) จะเข้ามาร่วมสืบสวนคดีครั้งนี้ด้วย
กระทั่งต้นเดือนตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แถลงข่าวจับกุม นายเวพิว หรือ วิน อายุ 21 ปี และนายซอลิน หรือ โซเรน อายุ 21 ปี สัญชาติเมียนมาร์ (ยะไข่) โดยระบุว่าทั้งสองได้ให้การรับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าสองนักท่องเที่ยว และผลดีเอ็นเอตรงกับเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้ตาย แต่การจับกุมครั้งนี้นำมาซึ่งความเคลือบแคลงใจของชาวเน็ตและสื่อต่างประเทศ จำนวนหนึ่งที่สงสัยว่าจะเป็นการจับแพะหรือไม่ โดยมีการตั้งคำถามถึงข้อพิรุธที่พบเห็นทั้งจากคำให้การและพยานหลักฐาน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องออกมาแถลงข่าวตอบข้อสงสัยต่าง ๆ พร้อมขอให้โลกโซเชียลเลิกให้ข้อมูลที่ก่อให้เกิดความสับสน
แต่ถึงกระนั้นสื่อต่างประเทศที่เกาะติดข่าวนี้อย่างใกล้ชิด ยังคงตั้งข้อสงสัยกับการทำคดีของตำรวจไทย โดยมีการอ้างว่า ผู้ต้องหาชาวพม่าถูกตำรวจไทยข่มขู่และทำร้ายให้รับสารภาพ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยต้องออกมาปฏิเสธอีกครั้ง ขณะที่ฝ่ายพม่าเองก็ได้เรียกร้องให้ไทยสืบสวนคดีนี้อย่างเป็นธรรม ส่วนประเทศอังกฤษได้ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังในการเดินทาง มาประเทศไทย พร้อมส่งหน่วยสืบสวนมาสางคดีนี้
คดีชักอลวนขึ้น เมื่อในวันที่ 21 ตุลาคม สองผู้ต้องหาได้กลับคำให้การ โดยระบุว่าถูกตำรวจข่มขู่ทำร้ายร่างกายเพื่อบีบบังคับให้รับสารภาพว่าเป็น ฆาตกร ทำให้สื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะบีบีซีของอังกฤษ ตีข่าวใหญ่อีกครั้ง ภายหลังผู้ต้องหาได้ส่งจดหมายไปยังครอบครัวของสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่ ถูกฆาตกรรม เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆาตกรรม
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา อัยการภาค 8 ก็ได้ยื่นฟ้องสองผู้ต้องหาชาวพม่าต่อศาลจังหวัดเกาะสมุยแล้ว ใน 6 ข้อหา และคดีนี้กำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล
เดือนพฤศจิกายน
ส่วยสะท้านสีกากี เช็กบิลเครือข่ายเจ้าพ่อสอบสวนกลาง
เป็นข่าวใหญ่ที่ไม่ได้แค่สะเทือนวงการตำรวจ และยังสะท้านไปอีกหลายวงการ กับคดี พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ผู้ได้รับฉายาเจ้าพ่อสอบสวนแห่งวงการตำรวจ พร้อมพวก ถูกสั่งเด้งฟ้าผ่าในช่วงเช้ามืดของวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557 ก่อนศาลอาญาจะอนุมัติหมายจับ ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับสินบนหรือประโยชน์อื่นใด จากกรณีการเรียกเก็บส่วยค้าน้ำมันเถื่อน ส่วยบ่อนพนัน วิ่งเต้นตำแหน่ง แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อรับเงิน บุกรุกป่าไม้ และอีกหลายสิบคดี นำไปซึ่งการค้นบ้านที่ต้องตกตะลึงเมื่อพบทรัพย์สินของมีค่าและวัตถุโบราณ มูลค่านับหมื่นล้านซุกซ่อนอยู่ภายในบ้าน ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกหลายราย ซึ่งมีส่วนร่วมในการฟอกเงิน ทั้งตระกูลชินนะประภา และเสี่ยโจ้ สหชัย เจียรเสริมสิน นายทุนค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่
เรื่องยังไม่จบแค่ในวงการสีกากีเท่านั้น เพราะในอีกไม่กี่วันให้หลัง ตำรวจได้จับกุมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ โดยแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงไปก่อเหตุทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์ ในจำนวนนั้นมีผู้ที่มีนามสกุล "อัครพงศ์ปรีชา" ถึง 3 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นญาติของ พล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ และภายหลังได้ถูกถอดยศทางราชการ ตามมาด้วยคำสั่งให้ยกเลิกใช้นามสกุลพระราชทาน "อัครพงศ์ปรีชา"
คดีใหญ่ครั้งนี้ยังสะเทือนไปถึงวงการธุรกิจ เมื่อตำรวจสืบสาวขยายผลพบว่า ผู้จ้างวานให้อุ้มเจ้าหนี้เพื่อกรรโชกให้ลดหนี้จาก 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาทก็คือ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ มหาเศรษฐีอันดับที่ 31 ของประเทศไทย ประจำปี 2557 ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจพลังงานลม และมีทรัพย์สินที่ถือครองกว่าสองหมื่นล้านบาท ก่อนที่นายนพพรจะหนีออกนอกประเทศไป พร้อมอัดคลิปแจงว่าถูกป้ายสี
ดูท่าว่าคดีนี้ยังไม่จบง่าย ๆ เมื่อยังมีการออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการและอายัดทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และภายหลังคณะกรรมการสอบสวนฯ ก็ได้มีมติเห็นชอบให้ไล่นายตำรวจทั้ง 6 คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ออกจากราชการ เนื่องจากกระทำผิดวินัยร้ายแรง
คงต้องรอดูต่อไปว่า บทสรุปของอีกหนึ่งคดีประวัติศาสตร์ของประเทศไทยจะเป็นเช่นไร
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด
เดือนธันวาคม
สะใจทั้งประเทศ ! ฟุตบอลไทยพลิกกำชัย คว้าแชมป์อาเซียน 12 ปีที่รอคอย
ภาพข่าว AFP
โดย ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตศูนย์หน้าจอมตีลังกา เน้นใช้ผู้เล่นอายุน้อย แต่ก็ประเดิมผลงานได้สวยหรูตั้งแต่รอบแรกที่เก็บ 3 แต้มเต็มมาทั้ง 3 นัดรวด ก่อนจะปราบฟิลิปปินส์ในรอบรองฯ ด้วยฟอร์มขั้นเทพ ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศกับ "เสือเหลือง" มาเลเซีย งานนี้กว่าจะได้แชมป์ก็เกิดเรื่องดราม่าขึ้นเล็กน้อย เมื่อในนัดแรกทีมชาติไทยโชว์สเต็ปเทพต่อบอลกันถึง 27 ครั้ง จนมาเลฯ ไปไม่เป็น และกลับบ้านไปด้วยความปราชัย 0-2 ซึ่งเท่ากับว่าในการแข่งขันนัดที่ 2 ที่มาเลเซีย ไทยมีโอกาสคว้าแชมป์สูงมาก
และสุดท้ายแล้ว "เมสซี่ เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก็ดับฝันอัลตร้ามาลายา ด้วยการยิงไกลสุดสวยฝังมาเลฯ คาบ้าน ก่อนหมดเวลาเพียงไม่กี่นาที ช่วยให้ "ช้างศึก" คว้าแชมป์อาเซียนสมัยที่ 4 และเป็นชัยชนะอีกครั้งในรอบ 12 ปี มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ก่อนที่ทีมนักเตะไทยจะกลับบ้านในฐานะฮีโร่ ขึ้นขบวนแห่ไปรอบเมือง ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จากคนไทย และทำให้หลายคนกลับมาคิดฝันกันอีกครั้งว่า "บอลไทยไปบอลโลก คงไม่ไกลเกินเอื้อม"
10 เรื่องเด่นจากหลากหลายวงการ มีทั้งเหตุการณ์ที่จบลงด้วยความสุข รอยยิ้ม และความเศร้าสะเทือนใจ ซึ่งก็คงเป็นบทเรียนให้สังคมได้จดจำ และตระหนักถึงอะไรหลาย ๆ อย่างได้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในศักราชใหม่