ปัญหาแปลก แม่ไม่ยอมกำจัดเหาให้ลูกสาว ปล่อยเหาทำฟาร์มบนหัวจนคันหนัก เมื่อได้รู้เหตุผลทำเอาอึ้ง ขอคำแนะนำด่วน
โดยปกติแล้วสำหรับคุณแม่ทั่วไป เมื่อทราบว่าลูกมีเหาต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเหาให้ลูกโดยเร็วที่สุด ทว่าคุณแม่ชาวออสเตรเลียรายนี้ เธอแตกต่างแบบขั้วตรงข้าม เมื่อเธอไม่ยอมแตะต้องเหาเหล่านั้นแม้แต่ตัวเดียว แม้ลูกจะคันมากแค่ไหนก็ตาม และพอได้รู้เหตุผลของเธอ ก็ทำเอาหลาย ๆ คนถึงกับเกาหัวไปตามกัน
ผู้ปกครองรายนี้เล่าว่า ลูกสาวของเธอวัย 7 ขวบ เป็นเพื่อนสนิทกับเด็กหญิงบ้านนั้นซึ่งอยู่บ้านข้างกัน ครอบครัวนั้นเป็นวีแกน ซึ่งเธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะเป็นสิทธิการดำเนินชีวิตส่วนบุคคล จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เด็กหญิงบ้านนั้นมาเล่นกับลูกสาวของเธอที่บ้าน เด็กหญิงมีอาการคันหัวอย่างรุนแรง จนเมื่อเธอไปดูก็พบว่า มีตัวเหาจำนวนมากเดินอยู่บนหัวของเด็ก
ผู้ปกครองรายนี้จึงบอกเรื่องเหาให้แม่ของเด็กหญิงได้รับทราบ แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำเอาอึ้ง แม่เด็กบอกว่า เธอทราบเรื่องนี้แล้ว และเป็นกังวลใจอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร "เพราะเป็นวีแกน จึงฆ่าสัตว์ไม่ได้"
แต่ที่ทำให้ผู้ปกครองรายนี้ตกตะลึงจนอ้าปากค้างเลยก็คือ แม่ของเด็กเล่าว่า "เคยเอาหวีเสนียดสางเหาและไข่ของมันจากหัวลูกสาว แล้วก็ปล่อยพวกมันกลับเข้าไปในสวนเพื่อให้ได้มีชีวิตรอดต่อไป" เมื่อได้ยินแล้วเธอก็มั่นใจว่า วิธีนี้ไม่ได้ผลอะไรเลย
ผู้ปกครองรายนี้จึงมาขอคำแนะนำจากทางคอลัมนิสต์ เนื่องจากเธอไม่อยากให้ลูกสาวของเธอและเด็กหญิงบ้านนั้นต้องมาเลิกคบกันเพราะเรื่องเหา เพราะมันคงจะน่าตลกมาก แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่อยากให้ลูกสาวติดเหามา
ทางด้านคอลัมนิสต์ก็เหมือนจะหาทางออกเรื่องนี้ได้ยากเช่นเดียวกัน โดยได้กล่าวเสียดสีติดตลกว่าคุณแม่ของเด็กรายนั้นว่า มีความย้อนแย้งแปลก ๆ เธอเลือกไม่ทรมานสัตว์ แต่ปล่อยให้ลูกตัวเองทรมาน และเหาที่ปล่อยเข้าสวนไปนั้น ก็ไม่ใช่การทำให้มันรอดชีวิต แต่เป็นการปล่อยให้มันตายอย่างช้า ๆ
คอลัมนิสต์ได้แนะนำแบบขำ ๆ ไปว่า ให้คุณผู้ปกครองรายนี้จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง โดยจัดสถานที่ในห้องน้ำแล้วพาลูกสาวและเพื่อนของเธอมาเล่นบทบาทสมมุติเป็นช่างทำผม เพื่อที่เธอจะได้กำจัดเหาให้เพื่อนลูกสาวได้ อย่างไรก็ตาม หากแม่ของเด็กหญิงมารู้ในภายหลังอาจจะไม่ไม่พอใจ แต่ใครจะรู้ว่าท้ายที่สุดวิธีนี้อาจจะคุ้มค่า อย่างน้อยก็สำหรับเด็กหญิงที่น่าสงสาร
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก นิวยอร์กโพสต์