ลูกชายสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำคะแนนอันดับท็อป อึ้งเรียน ๆ ไปกลับหายตัวปริศนา ติดต่อไม่ได้ 9 ปี พ่อแม่สุดทุกข์ สะเทือนใจหลังรู้ความจริง
ภาพจาก Sohu
วันที่ 6 กรกฎาคม 2567 เว็บไซต์ Sohu รายงานเรื่องราวของเด็กหนุ่มอนาคตไกลรายหนึ่ง ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนอันดับท็อป เขาเป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่และคนทั้งหมู่บ้าน แต่แล้วจู่ ๆ ชายคนนี้ก็หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา จนพ่อแม่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการตามหา แต่แม้จะใช้เงินเก็บไปจนหมดแล้ว ภารกิจตามหาลูกชายของพวกเขาก็ล้มเหลวตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
ครั้งสุดท้ายที่ทางครอบครัวได้รับการติดต่อจากลูกชาย คือ SMS ที่ถูกส่งมาจากเบอร์แปลก ๆ ในปี 2552 บอกเพียงว่า "พ่อ ตอนนี้ผมอยู่ปักกิ่ง ผมไปได้สวย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ" แต่เมื่อพ่อโทร. กลับไปก็มีคนอื่นรับสาย อ้างว่าเป็นเพื่อนของลูกชาย และบอกให้เขาโทร. มาใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อพ่อโทร. ไปอีกหลังจากนั้นก็ไม่มีคนรับสาย แถมยังถูกตัดสายทิ้งอีกด้วย
ภาพจาก Sohu
คู่สามีภรรยาเป็นห่วงลูกชายจับใจ จึงเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งของจีนในวันรุ่งขึ้น แต่กลับพบว่าบ้านที่ลูกชายเคยเช่าอยู่กลายเป็นบ้านที่ถูกทิ้งว่าง คนอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีใครรู้ว่าลูกของพวกเขาอยู่ที่ไหน
พ่อแม่ยังตามหาไม่ลดละจนเงินหมด จึงทำได้แค่ไปลงบันทึกเรื่องบุคคลสูญหายที่สถานีตำรวจ ก่อนเดินทางกลับบ้านเกิด แต่พวกเขาก็ยังพยายามกลับมาตามหาลูกที่ปักกิ่งถึง 5 ครั้ง ตลอดช่วงเวลา 9 ปี
กระทั่งเมื่อผู้เป็นแม่ล้มป่วยด้วยโรคร้าย ไม่เหลือแรงจะออกตามหาลูกชาย ทางครอบครัวจึงตัดสินใจร้องสื่อทั้งน้ำตา วิงวอนให้ลูกชายกลับมาบ้าน เพื่อผู้เป็นแม่ที่อยากเห็นหน้าลูกอีกสักครั้งก่อนตาย จนกลายเป็นข่าวที่สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คนทั่วประเทศในปี 2561
ในที่สุดพลังโซเชียลก็บังเกิดผล เพียง 2 เดือนหลังจากที่สื่อนำเสนอข่าวการตามหาลูกชายของแม่ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ลูกชายของเขาก็ติดต่อกลับมา และครอบครัวก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งจริง ๆ ตอนนี้เองที่ทุกคนได้รับคำตอบว่าชายหนุ่มหายตัวไปได้อย่างไร และความจริงที่ได้รู้ก็สะเทือนใจไม่แพ้กัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2546 หยางเริ่นหรง เป็นเด็กหนุ่มหัวดีที่สร้างความภาคภูมิใจแก่พ่อแม่ ด้วยการสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังด้วยคะแนนอันดับท็อป โดยเขาได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง การสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำถือเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล พ่อแม่ที่มีความสุขจึงจัดงานฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่โดยเชิญคนมาทั้งหมู่บ้าน
ตอนนั้นเด็กหนุ่มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นใจ เพราะเขาเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ และเป็นแบบอย่างสำหรับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน แต่หลังจากไปเรียนที่กรุงปักกิ่ง โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้สวยงามแบบที่ฝัน เขาเรียนไม่ทันเพื่อน ๆ ไม่รู้เรื่องในสิ่งที่อาจารย์สอน จึงคิดที่จะเปลี่ยนสาขาวิชาเอกไปเรียนด้านฟิสิกส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ
ปรากฏว่า หยางเริ่นหรง มีความเชี่ยวชาญและชื่นชอบฟิสิกส์ แต่เลือกเรียนสาขาอื่นที่จะเอื้อต่อการหางานในอนาคต เมื่อรู้ตัวว่าเรียนต่อไม่ไหวเขาจึงไปบอกให้พ่อแม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเอก อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ที่การศึกษาไม่สูงนักพยายามโน้มน้าวลูกชายให้คิดใหม่ พวกเขาไม่เข้าใจในความลำบากของลูกชาย สุดท้ายเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าการเปลี่ยนเอกคือการยอมรับว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้เป็นเรื่องผิดพลาด และเขาก็ไม่อยากให้ใครรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง
ระหว่างช่วงเวลา 4 ปี ในมหาวิทยาลัย หยางเริ่นหรงใช้ความพยายามมากในทุกการสอบ ตอนแรก ๆ เขาก็ยังพอทำได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกรดก็ตกลงเรื่อย ๆ เขารู้ว่าตัวเองมีความสามารถไม่เพียงพอ ในขณะที่พ่อแม่ยังคงเชื่อมั่นในตัวลูกชายที่แสนฉลาด ไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย
สุดท้ายแล้วหยางเริ่นหรงที่ใกล้จะเรียนจบก็ไม่ได้เข้าสอบวิชาสุดท้าย แม้ทางมหาวิทยาลัยจะเตือนเขาหลายครั้งว่าเขาจะได้รับวุฒิเมื่อมาสอบต่อให้เสร็จ แต่เขาก็เลือกที่จะดรอปเรียนแล้วออกจากมหาวิทยาลัยไป ตั้งใจที่จะหางานทำเพื่อเก็บเงินให้ได้มาก ๆ แต่ด้วยสถานะของคนที่เรียนไม่จบอย่างเขาจึงไม่มีบริษัทใหญ่ ๆ รับเข้าทำงาน ต้องหันมาทำงานทั่วไป เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานขายของ และอื่น ๆ โดยตั้งใจว่าเมื่อหาเงินได้มากแล้วจึงจะกลับบ้านอีกครั้ง
จริงอยู่ที่ชีวิตแสนลำบากทำให้เด็กหนุ่มคิดอยากกลับบ้านเกิด แต่เมื่อนึกถึงสายตาแปลก ๆ ที่จะได้รับจากเพื่อนบ้าน รวมถึงกลัวพ่อแม่ผิดหวัง เขาเลยไม่กล้ากลับไป ยอมลำบากทำงานหาเงิน และไม่ได้ติดต่อใครอีกเลย รวมแล้วเป็นเวลาถึง 9 ปี นับตั้งแต่ที่เขาติดต่อไปหาพ่อแม่ครั้งสุดท้าย
จนเมื่อหยางเริ่นหรงได้เห็นคลิปของพ่อแม่ที่ออกมาวิงวอนทั้งน้ำตาขอให้เขากลับบ้านนั้นเอง ชายหนุ่มจึงรู้สึกผิดมาก และยอมติดต่อกลับไปยังเบอร์เก่าของพ่อแม่ที่ยังจำได้ ครอบครัวจึงได้นัดพบกันที่สถานีรถไฟ ก่อนจะได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง
แม่ของเขาโผกอดเขาทั้งน้ำตา นับเป็นช่วงเวลาน่ายินดีที่ครอบครัวกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า โดยหยางเริ่นหรงก็ยอมรับว่าเขารู้สึกผิดอย่างยิ่ง จริง ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ควรกลับมาบ้านนานแล้ว จากนี้เขาตั้งใจจะอยู่กับพ่อแม่ไปทั้งชีวิต และพยายามไม่ให้พวกท่านต้องเผชิญความลำบากอีก
ขอบคุณข้อมูลจาก Sohu
ภาพจาก Sohu
วันที่ 6 กรกฎาคม 2567 เว็บไซต์ Sohu รายงานเรื่องราวของเด็กหนุ่มอนาคตไกลรายหนึ่ง ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนอันดับท็อป เขาเป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่และคนทั้งหมู่บ้าน แต่แล้วจู่ ๆ ชายคนนี้ก็หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา จนพ่อแม่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการตามหา แต่แม้จะใช้เงินเก็บไปจนหมดแล้ว ภารกิจตามหาลูกชายของพวกเขาก็ล้มเหลวตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
ครั้งสุดท้ายที่ทางครอบครัวได้รับการติดต่อจากลูกชาย คือ SMS ที่ถูกส่งมาจากเบอร์แปลก ๆ ในปี 2552 บอกเพียงว่า "พ่อ ตอนนี้ผมอยู่ปักกิ่ง ผมไปได้สวย ไม่ต้องเป็นห่วงนะ" แต่เมื่อพ่อโทร. กลับไปก็มีคนอื่นรับสาย อ้างว่าเป็นเพื่อนของลูกชาย และบอกให้เขาโทร. มาใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อพ่อโทร. ไปอีกหลังจากนั้นก็ไม่มีคนรับสาย แถมยังถูกตัดสายทิ้งอีกด้วย
ภาพจาก Sohu
คู่สามีภรรยาเป็นห่วงลูกชายจับใจ จึงเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งของจีนในวันรุ่งขึ้น แต่กลับพบว่าบ้านที่ลูกชายเคยเช่าอยู่กลายเป็นบ้านที่ถูกทิ้งว่าง คนอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีใครรู้ว่าลูกของพวกเขาอยู่ที่ไหน
พ่อแม่ยังตามหาไม่ลดละจนเงินหมด จึงทำได้แค่ไปลงบันทึกเรื่องบุคคลสูญหายที่สถานีตำรวจ ก่อนเดินทางกลับบ้านเกิด แต่พวกเขาก็ยังพยายามกลับมาตามหาลูกที่ปักกิ่งถึง 5 ครั้ง ตลอดช่วงเวลา 9 ปี
กระทั่งเมื่อผู้เป็นแม่ล้มป่วยด้วยโรคร้าย ไม่เหลือแรงจะออกตามหาลูกชาย ทางครอบครัวจึงตัดสินใจร้องสื่อทั้งน้ำตา วิงวอนให้ลูกชายกลับมาบ้าน เพื่อผู้เป็นแม่ที่อยากเห็นหน้าลูกอีกสักครั้งก่อนตาย จนกลายเป็นข่าวที่สร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คนทั่วประเทศในปี 2561
ในที่สุดพลังโซเชียลก็บังเกิดผล เพียง 2 เดือนหลังจากที่สื่อนำเสนอข่าวการตามหาลูกชายของแม่ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ลูกชายของเขาก็ติดต่อกลับมา และครอบครัวก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งจริง ๆ ตอนนี้เองที่ทุกคนได้รับคำตอบว่าชายหนุ่มหายตัวไปได้อย่างไร และความจริงที่ได้รู้ก็สะเทือนใจไม่แพ้กัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2546 หยางเริ่นหรง เป็นเด็กหนุ่มหัวดีที่สร้างความภาคภูมิใจแก่พ่อแม่ ด้วยการสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังด้วยคะแนนอันดับท็อป โดยเขาได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง การสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำถือเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล พ่อแม่ที่มีความสุขจึงจัดงานฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่โดยเชิญคนมาทั้งหมู่บ้าน
ตอนนั้นเด็กหนุ่มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นใจ เพราะเขาเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ และเป็นแบบอย่างสำหรับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน แต่หลังจากไปเรียนที่กรุงปักกิ่ง โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้สวยงามแบบที่ฝัน เขาเรียนไม่ทันเพื่อน ๆ ไม่รู้เรื่องในสิ่งที่อาจารย์สอน จึงคิดที่จะเปลี่ยนสาขาวิชาเอกไปเรียนด้านฟิสิกส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ
ปรากฏว่า หยางเริ่นหรง มีความเชี่ยวชาญและชื่นชอบฟิสิกส์ แต่เลือกเรียนสาขาอื่นที่จะเอื้อต่อการหางานในอนาคต เมื่อรู้ตัวว่าเรียนต่อไม่ไหวเขาจึงไปบอกให้พ่อแม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเอก อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ที่การศึกษาไม่สูงนักพยายามโน้มน้าวลูกชายให้คิดใหม่ พวกเขาไม่เข้าใจในความลำบากของลูกชาย สุดท้ายเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าการเปลี่ยนเอกคือการยอมรับว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้เป็นเรื่องผิดพลาด และเขาก็ไม่อยากให้ใครรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง
ระหว่างช่วงเวลา 4 ปี ในมหาวิทยาลัย หยางเริ่นหรงใช้ความพยายามมากในทุกการสอบ ตอนแรก ๆ เขาก็ยังพอทำได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกรดก็ตกลงเรื่อย ๆ เขารู้ว่าตัวเองมีความสามารถไม่เพียงพอ ในขณะที่พ่อแม่ยังคงเชื่อมั่นในตัวลูกชายที่แสนฉลาด ไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย
สุดท้ายแล้วหยางเริ่นหรงที่ใกล้จะเรียนจบก็ไม่ได้เข้าสอบวิชาสุดท้าย แม้ทางมหาวิทยาลัยจะเตือนเขาหลายครั้งว่าเขาจะได้รับวุฒิเมื่อมาสอบต่อให้เสร็จ แต่เขาก็เลือกที่จะดรอปเรียนแล้วออกจากมหาวิทยาลัยไป ตั้งใจที่จะหางานทำเพื่อเก็บเงินให้ได้มาก ๆ แต่ด้วยสถานะของคนที่เรียนไม่จบอย่างเขาจึงไม่มีบริษัทใหญ่ ๆ รับเข้าทำงาน ต้องหันมาทำงานทั่วไป เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานขายของ และอื่น ๆ โดยตั้งใจว่าเมื่อหาเงินได้มากแล้วจึงจะกลับบ้านอีกครั้ง
จริงอยู่ที่ชีวิตแสนลำบากทำให้เด็กหนุ่มคิดอยากกลับบ้านเกิด แต่เมื่อนึกถึงสายตาแปลก ๆ ที่จะได้รับจากเพื่อนบ้าน รวมถึงกลัวพ่อแม่ผิดหวัง เขาเลยไม่กล้ากลับไป ยอมลำบากทำงานหาเงิน และไม่ได้ติดต่อใครอีกเลย รวมแล้วเป็นเวลาถึง 9 ปี นับตั้งแต่ที่เขาติดต่อไปหาพ่อแม่ครั้งสุดท้าย
จนเมื่อหยางเริ่นหรงได้เห็นคลิปของพ่อแม่ที่ออกมาวิงวอนทั้งน้ำตาขอให้เขากลับบ้านนั้นเอง ชายหนุ่มจึงรู้สึกผิดมาก และยอมติดต่อกลับไปยังเบอร์เก่าของพ่อแม่ที่ยังจำได้ ครอบครัวจึงได้นัดพบกันที่สถานีรถไฟ ก่อนจะได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง
แม่ของเขาโผกอดเขาทั้งน้ำตา นับเป็นช่วงเวลาน่ายินดีที่ครอบครัวกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า โดยหยางเริ่นหรงก็ยอมรับว่าเขารู้สึกผิดอย่างยิ่ง จริง ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ควรกลับมาบ้านนานแล้ว จากนี้เขาตั้งใจจะอยู่กับพ่อแม่ไปทั้งชีวิต และพยายามไม่ให้พวกท่านต้องเผชิญความลำบากอีก
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก Sohu