เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติบรมราชินีนาถ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มีการแถลงข่าวการประกวดแผนการประชาสัมพันธ์ "ให้ตา ได้กุศล" โดย ผศ.พญ.ลลิดา ปริยกนก ผู้อำนวยการศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย กล่าวว่า ศูนย์ดวงตาฯ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2508 หรือ 43 ปีมาแล้ว แต่ขณะนี้สามารถผ่าตัดดวงตาได้เพียง 6,281 ดวง ซึ่งยังมีผู้ป่วยที่รอคิวรับบริจาคอีก 3,205 ราย โดยในแต่ละปีมีผู้จองรับการบริจาคดวงตา 800-900 ราย หากดวงตาไม่เพียงพอกับความต้องการ จะทำให้มีผู้รอคิวสะสมเป็นหมื่นรายได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้แสดงความจำนงบริจาคดวงตา 649,000 ราย หรือ 1% ของประชากร
"ปัญหาคือมีผู้ที่เสียชีวิตทุกๆ วันในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทำอย่างไรจะให้มีการบริจาคดวงตา ทำอย่างไรให้ญาติบริจาคดวงตาแทนผู้เสียชีวิต เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้แสดงความจำนงการบริจาคไว้ อีกทั้งในผู้ที่แสดงความจำนงบริจาค แต่ญาติกลับไม่อนุญาต ดังนั้นจำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์การบริจาคดวงตาให้ประชาชนเข้าใจ ซึ่งในปี 2543 ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้ดวงตาบริจาคเพียง 228 ดวง ทำให้มีการวางแผนโดยจัดให้มีผู้ประสานงานในการขอดวงตาผู้เสียชีวิตจากญาติ จากโรงพยาบาลเครือข่าย 19 แห่ง ทำให้ปี 2550 สามารถหาดวงตาได้ 453 ราย ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าจัดหาดวงตาให้ได้ 500 ดวง" ผศ.พญ.ลลิดากล่าว
ผอ.ศูนย์ดวงตา กล่าวต่อว่า ข้อบ่งชี้ในการเปลี่ยนกระจกตาในประเทศไทย พบว่า โรคแผลเป็นที่กระจกตาเป็นข้อบ่งชี้อันดับ 1 ในการเปลี่ยนกระจกตา 21.52% ตามมาด้วยแผลหนองที่กระจกตา 17.23% กระจกตาบวม 15.02% กระจกตาเสื่อมหรือโป่งนูนผิดปกติ 11.18% และอันดับสุดท้ายคือ การเปลี่ยนกระจกตาซ้ำ 9.88% โดยในช่วง 8 ปีหลัง สัดส่วนของโรคกระจกตาบวมเมื่อเทียบกับโรคอื่นๆ ในแต่ละปีมีเปอร์เซ็นต์เพิ่มมากขึ้น
"จากการสำรวจของทางสำนักงานสถิติแห่งชาติ เหตุผลที่ประชาชนไม่บริจาคดวงตา ส่วนใหญ่กลัวว่าชาติหน้าเกิดมาแล้วจะไม่มีตาและห่วงในเรื่องความสวยความงาม กลัวศพไม่สวย ทำให้ญาติไม่ยอมบริจาคตาให้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วจะมีการเย็บให้เรียบร้อย ให้สภาพศพดูเหมือนเดิมไม่น่าเกลียด นอกจากนี้ยังพบว่า กว่า 50% ของประชากรที่สำรวจยังไม่รู้จักศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ดังนั้นจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักและเข้าใจมากขึ้น ทั้งนี้ การจัดเก็บดวงตาจะต้องจัดเก็บภายใน 6 ชั่วโมงหลังเสียชีวิตแล้ว แต่หากเสียชีวิตในโรงพยาบาลที่เป็นห้องเย็นจะต้องจัดเก็บภายใน 12 ชั่งโมง"
ผศ.พญ.ลลิตากล่าวอีกว่า ญาติไม่ให้จัดเก็บดวงตาเป็นปัญหาสำคัญมาก ต่างจากสหรัฐอเมริกาที่มีกฎหมายกำหนดชัดเจนว่า เมื่อผู้เสียชีวิตบริจาคตาแล้ว แพทย์สามารถนำตาออกมาได้ เพราะถือเป็นสมบัติส่วนกลาง แต่ประเทศไทยเราไม่มีกฎหมายนี้ หากแพทย์กระทำเองจะเป็นปัญหาได้
ด้าน รศ.อรุณีประภา หอมเศรษฐี ประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ และคณะกรรมการประกวดแผนการประชาสัมพันธ์" ให้ตา ให้กุศล" กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ประชาสัมพันธ์เชิงรุกต่างๆ และเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายคือเยาวชนที่เป็นผู้ทำความเข้าใจในเรื่องบริจาค จึงได้จัดการประกวดแผนการประชาสัมพันธ์" ให้ตา ได้กุศล" เป็นครั้งแรก เพื่อให้นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไปเกิดความรู้ ความเข้าใจ เกิดจิตสำนึก เห็นคุณค่าของการแสดงความจำนงอุทิศดวงตาภายหลังเสียชีวิตแล้ว
สำหรับหลักเกณฑ์การประกวดแผนประชาสัมพันธ์ คือ ผู้เข้าประกวดต้องสังกัดสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้จัดส่ง โดย 1 ทีมมีสมาชิก 3 คน ให้ทำแผนประชาสัมพันธ์ระยะเวลา 1 ปี งบประมาณดำเนินการ 5-8 ล้านบาท มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเกิดจิตสำนึกร่วมกัน เห็นคุณค่าของการบริจาคดวงตาภายหลังถึงแก่กรรม โดยผู้ชนะเลิศประกวดแผนประชาสัมพันธ์ได้รางวัลเงินสด 50,000 บาท พร้อมเข้าฝึกงานด้านการประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบที่บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.eyebankthai.com/
ข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต