x close

ปุ้ย - พิมลวรรณ + ชัช ชัชพงษ์ เพราะรักจึงเข้าใจ

ปุ้ย พิมลวรรณ


          หลายคนมักคิดว่าการแต่งงานคือบทสรุปของความรัก แต่ในความเป็นจริงแล้วการแต่งงานคือปฐมบทของความรักที่แท้จริง และมีสีสันกว่าตอนเป็นคู่รักกันมากมายนัก ดังเช่นคู่ของ "คุณปุ้ย-พิมลวรรณ หุ่นทองคำ" พิธีกรสาวสวยที่โด่งดังจากรายการ "ผู้หญิงถึงผู้หญิง" ทางช่อง 3 และ "คุณชัช-ชัชพงษ์ หุ่นทองคำ" ที่เริ่มต้นรักอย่างเรียบง่าย และค่อยๆ เข้มขันขึ้นเมื่อทั้งสองตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน

 แรกเริ่มรู้จัก

          ฝ่ายคุณชัชไม่รอช้าขอเป็นผู้เล่าก่อน "เจอปุ้ยครั้งแรก เขาเป็นรุ่นน้องผมที่มหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ สมัยเรียนก็เคยเจอกันบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งมาทำงาน ปุ้ยทำงานที่ช่อง 3 ส่วนผมเป็นผู้กำกับรายการอยู่ช่อง 7 เราก็ได้มีโอกาสมาเจอกันอีก เจอครั้งนี้ผมเริ่มสนใจเขาขึ้นมาแล้วนะ แต่ไม่กล้าจีบเพราะเขาเป็นคนสวยแต่ดุ เราเคยเห็นมากับตาว่าเขาด่าผู้ชายคนอื่นเปิงมาแล้ว ผมเลยเกรงๆ ไม่กล้าไปจีบ ตอนนี้ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะชอบคนอย่างผมด้วย ตอนหลังได้มีโอกาสคุยกัน ถึงได้รู้ว่าเขาตอนอื่นไม่ได้ดุอย่างที่เคยกลัว ผมเลยตัดสินใจจีบดู ลองชวนเขาไปดูหนัง ทานข้าว เหมือนกับคู่รักทั่วๆ ไป ซึ่งปุ้ยเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ตอนนั้นเขายังไม่ได้ดังขนาดนี้ ถ้าผมจีบตอนนี้ไม่รู้ว่าจะติดหรือเปล่า"

          หลังจากนั่งฟังสามีพูดอยู่นาน พี่ปุ้ยของเราขอเล่าบ้าง "จริงๆ ชัชเขาก็ไม่ได้มาแนวจีบหรอกค่ะ แต่ที่ให้ความสนิทสนมกับเขาก็เนื่องมาจาก เวลาอยู่กับเขาเรารู้สึกสบายๆ ไม่ค่อยเกร็ง ตอนแรกคิดแค่ว่าเขาเป็นรุ่นพี่และเป็นเพื่อนที่น่าคบคนหนึ่งเท่านั้น ช่วงนั้นที่ยังไม่ได้เลือกคบใครเป็นแฟน เพราะเรารู้สึกคนที่เขามาไปกันไม่ได้ เหมือนพูดคนละภาษา รูปแบบการใช้ชีวิตมันต่างกัน ไม่เหมือนที่เราคุยกับชัชซึ่งรู้เรื่องกว่า ที่แย่กว่านั้นก็คือบางคนที่เข้ามาจีบเขาทำให้เรากลัวอาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นเราเป็นเด็กจากต่างจังหวัด ถ้าจะให้เราไปดินเนอร์โรงแรมหรูๆ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา ถ้าไปแล้วต้องทำอะไร เก้ๆ กังๆ ก็จะรู้สึกอึดอัด สู้คบกับคนที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบเดียวกันเข้าใจกัน คุยภาษาเดียวกันดีกว่า"

          "พอคบกันไปได้ซักพักนึงเราก็เริ่มจะรู้สึกประมาณว่า เออคนนี้ใช้แล้ว เราเจอแล้ว คนที่คุยภาษาเดียวกัน นิสัยคล้ายๆ กัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ชัชเป็นผู้ชายที่ชอบเดินห้างสรรพสินค้า ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่จะไม่ชอบ ชอบความบันเทิง ชอบดูหนัง ฟังเพลง ชอบเที่ยวต่างจังหวัด และทั้งหมดนั่นก็เป็นสิ่งที่เราชอบเหมือนกัน ที่สำคัญคือชัชเข้ากับเพื่อนเราได้ทุกคน ไม่มีปัญหา ไม่ฟอร์มว่าถ้าจะไปกับเขาเราต้องทิ้งเพื่อน คบกันเป็นแฟนจริงๆ ประมาณ 3 ปี เราจึงตัดสินใจแต่งงาน"

          เวลา 3 ปีที่คบกัน ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเรียนรู้กันและกันพอควร นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน แต่งานวิวาห์ในฝันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะอะไรนั้นคงต้องติดตาม

          คุณชัชขอเล่าก่อน "ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนบอกเขาก่อนว่าผมอยากแต่งงานแล้วนะ แต่บอกตรงๆ ว่าลึกๆ ในใจผมก็ยังรู้สึกลังเล ผมยังมีกั๊กๆ ผมบอกเขาว่าอยากแต่ง แต่ยังไม่ค่อยพร้อมเรื่องเงิน ผมมีบ้านอยู่แต่เป็นบ้านพ่อกับแม่แล้วเงินเก็บเราพอมีแต่มันไม่ได้มาก อีกอย่างผมยังอยากใช้ชีวิตโสดอีกนิดและคุณพ่อผมเสีย ผมก็รู้สึกว่างานแต่งของผมท่านน่าจะได้อยู่ด้วย ผมยิ่งลังเล จนแม่ผมบอกว่าเหลือผมในครอบครัวคนเดียวแล้วนะที่ยังไม่ได้แต่งงาน ท่านเป็นห่วง ผมเลยกลับมานั่งคิดว่าคนเรามันชีวิตสั้น ปุบปับจะตายจากกันไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เกิดเราไม่แต่งตอนนี้ แม่เราก็อายุเยอะแล้วเขาจะได้เห็นงานแต่งเราหรือเปล่า บวชผมก็บวชแล้ว หน้าที่การงานก็มีแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ค่อยมีเงิน ผมเลยไปคุยกับปุ้ย ไปคุยกับคุณแม่ปุ้ย แม่ปุ้ยเขาก็เข้าใจและช่วยเรื่องเงินเราสองคนอย่างดี เพราะจริงๆ ท่านอยากให้เราได้ใช้ชีวิตร่วมกันในที่สุด"”

          คุณปุ้ยเสริมว่า "สำหรับตัวเองไม่ลังเลเหมือนชัช คิดว่าเราก็ถึงวัยอันควรคืออายุ 30 แล้ว น่าจะมีครอบครัวได้แล้ว อีกอย่างตอนนั้นเรามาอยู่กรุงเทพฯ อยู่คนเดียว ถ้าเกิดว่าแต่งงานมีครอบครัวเป็นเรื่องเป็นราวพ่อแม่ก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เหมือนอย่างตอนที่เราใช้ชีวิตอยู่คนเดียว"

          แม้คุณปุ้ยจะตัดสินใจใช้ชีวิตคู่เพราะคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม แม้คุณชัชจะรู้สึกลังเลที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่ แต่สองก็ทำหน้าที่ในบทบาทของตนเองได้อย่างสมบูรณ์และมีมุมมองในเรื่องของการใช้ชีวิตคู่อย่างน่าชื่นชมทีเดียว

          คุณปุ้ยขอร่ายยาวบ้างว่า "หลายคนเวลาที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ มักจะคิดว่าได้สูญเสียความเป็นส่วนตัวไปแล้ว แต่สำหรับตัวเองความเป็นส่วนตัวก็คือการได้อยู่กับสามีและลูก เวลามีคนมาปรึกษาว่าเขาจะตัดสินใจแต่งงานดีไหม เราก็จะย้อนถามเขาว่าเขาพร้อมหรือยังสำหรับการใช้ชีวิตคู่ ถ้าหลับตาคิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง คิดว่าจะอยู่กับคนๆ นี้ได้ไหม ถ้าเรารับข้อเสียเขาได้ ก็ตัดสินแต่งเลยไม่เป็นไร อย่างคู่ของเราชัชจะเป็นคนชอบพูดจาตรงไปตรงมา บางครั้งอาจจะไม่เข้าหู แต่ความที่เราคบกันมานาน จะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นความจริง เขาหวังดี เช่น เรื่องเราทำกับข้าวไม่อร่อย เขาก็จะบอกเลยว่ามันกินไม่ได้"

          คุณชัชล้อภรรยาว่า "คือถ้าผมไม่พูดเขาก็จะทำบ่อยๆ เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันทั้งบ้าน"

          คุณปุ้ยจึงแก้ "คุณแม่พี่ชัชเขาทำอาหารอร่อยก็เลยมีข้อเปรียบเทียบ แต่ที่เขาพูดมันก็ถูกเรารับได้ไง"

          คุณชัชเล่าต่อว่า "ผมจำได้ว่ามื้อแรกที่ปุ้ยเขาทำกับข้าวให้ผมทาน ตอนนั้นผมไปผ่าตัดตา ผ่าตัดมาใหม่ๆ มันก็จะอาการคลื่นไส้นิดๆ กลับมาถึงบ้านปุ้ยคงอยากเอาใจผมด้วยการทำข้าวคลุกกะปิให้ทาน แทนที่ทำข้าวต้มหรือโจ๊ก ผมทานเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมดเลย"

          คุณปุ้ญเสริม "เออ... ตอนนั้นเราก็โง่เนอะ น่าจะทำอาหารสำหรับคนเพิ่งฟื้นไข้ แต่ถ้าถามว่าตอนนั้นเราโกรธไหมที่เขาอาเจียนอาหารที่เราอุตล่าห์ตั้งใจทำ เราไม่โกรธนะ จนเดี๋ยวนี้เราก็ยอมรับแล้วว่าเรื่องความเป็นแม่บ้านแม่เรือนเนี่ย ไม่ได้เลยค่ะ"

          คุณชัชเล่าต่อ "ครั้งหนึ่งผมก็เคยคิดอยากเปลี่ยนเขาให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนมากกว่านี้ เพราะคุณแม่ผมเขาเป็นคนทำกับข้าวเก่ง ผมคิดว่าถ้าเกิดปุ้ยเหมือนแม่เราคงจะดี แต่ผมก็มาทบทวนนะเรื่องปุ้ย และมองโลกให้กว้างอีกนิด เลยคิดว่าโลกนี้มันไม่มีใครเพอร์เฟ็ก โอเคปุ้ยเขาอาจจะทำกับข้าว ทำงานบ้านไม่เก่ง มันก็ไม่เป็นไร มันมีวิธีอื่นตั้งเยอะที่จะจัดการเรื่องในบ้านได้ อย่างถ้าอยากกินกับข้าวอร่อยๆ ก็ไปซื้อมากินได้ เรียกน้องสาวหรือขอให้แม่มาช่วยทำให้ทานก็ได้ คือการมีชีวิตคู่มันต้องอดทน"

          คุณปุ้ยรีบแก้ "เขาไม่ให้ใช้คำว่าอดทน เขาให้ใช้คำว่าเข้าใจกัน เวลาที่มีปัญหาก็พยายามเข้าใจกัน แล้วเราก็จะใจเย็นลงได้" 



ครอบครัวปุ้ย

         

หลังจากที่คุณปุ้ยเริ่มเป็นที่รู้จัก ชีวิตคู่ก็เริ่มเปลี่ยนไปในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ยอมรับและเข้าใจที่ปรับตัว แต่ความดังของคุณปุ้ยย่อมมีผลกระทบต่อชีวิตคู่บ้างแน่ๆ

          คุณชัชขอเล่าก่อน "ในแง่ของการใช้ชีวิตก็คงจะมีบ้าง ถ้าไปไหนกับปุ้ยแฟนรายการก็จะมาทัก ถ้าขอถ่ายรูป บางครั้งหากมีธุระก็อาจจะทำให้เราเสียเวลาบ้าง แต่ผมก็จะบอกปุ้ยเขานะว่าสละเวลาตรงนี้ได้ก็ทำให้แฟนรายการเถอะ ถ้าเราไม่ได้รีบผมก็จะยืนรอเขาเสมอ บอกตรงๆ เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้ทำให้ผมอึกอัดเลย ผมดีใจที่ใครๆ ก็ชื่นชมภรรยาผม"

          คุณปุ้ยพูดเสริมว่า "คือทุกคนก็เข้ามาทักด้วยความชื่นชอบเรา ตอนหลังเราก็เลยต้องวางตัวเองว่า เอาเถอะ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราเป็นคนที่เขาต้องการที่จะเข้ามารู้จัก เราก็ทำหน้าที่ของเราทั้งในจอและนอกจอให้ดีที่สุดก็พอ"

          คุณชัชเสริมอย่างติดตลกว่า "ผมเองเคยไปซื้อตั๋วหนังให้ปุ้ยกับลูก คนขายตั๋วมาทักผมว่า นี่แฟนพี่ปุ้ยใช่ไหม ผมนึกในใจว่าถ้าผมมากับคนอื่นผมซวยแน่ๆ การมีภรรยาเป็นของคนดังมันก็มีข้อดีและข้อเสียนะ"


          ถามถึงเรื่องราวความโรแมนติก แต่ละคนต่างมีมาตรฐานของความโรแมนติกที่แตกต่างกันออกไป สำหรับความโรแมนติกของคุณปุ้ยและคุณชัช มีความเข้มข้นในเรื่องราวของความหวานมากน้อยแค่ไหน ต้องติดตาม

          คุณชัชเผยว่า "ปุ้ยเป็นคนไม่ค่อยโรแมนติกครับ ผมว่านิสัยเขาเหมือนผู้ชายด้วยซ้ำไป"

          คุณปุ้ยพูดอย่างเข้าใจในตัวสามีว่า "ส่วนชัชเขาก็โรแมนติกในสไตล์ของเขา เขาอาจจะไม่ได้มีช่อดอกไม้ หรือทำปากหวานว่าปุ้ยจ๋าพี่รักปุ้ยกับลูกมากเลยนะ อะไรแบบเนี่ยไม่มี แต่ว่าเขาจะแสดงออกด้วยการดูแลครอบครัว โดยเฉพาะตอนที่ชัชออกจากงานประจำมาเป็นฟรีแลนส์ เขายิ่งดูแลเราและลูกเป็นอย่างดี เช่น พาลูกไปส่งโรงเรียน ดูแลเรื่องราวทุกอย่างต่างๆ ภายในบ้านให้"

          คุณชัชเอ่ยอย่างล้อๆ ว่า "วันที่ 12 สิงหา ปุ้ยยังให้ผมไปนั่งรับพวงมาลัยวันแม่จากลูกที่โรงเรียนเลย"

          คุณปุ้ยขอแก้ "ตอนหลังเราแก้ปัญหาด้วยการโทรศัพท์บอกยายที่อยู่เชียงใหม่ มานั่งเป็นแม่ให้หลาน แล้วเราก็จะบอกลูกว่าให้คุณยายไปแทนนะลูก เราพูดสั้นๆ แค่นี้ไม่ได้อธิบายอะไรให้เข้าใจว่าคุณยายเป็นแม่ของคุณแม่เป็นตัวแทนได้ ลูกก็ยังเล็กคงยังไม่เข้าใจ เขาจะงอแงโวยวายว่านั่นมันยายไม่ใช่แม่ พอครูบอกให้กอดแม่เขาก็จะไม่กอด ไปเถียงกับยายที่งานวันแม่ว่ายายไม่ใช่แม่"

          คุณปุ้ยกล่าวเสริมเรื่องความโรแมนติกว่า "คนเราพออยู่ด้วยกันชักพักเรื่องโรแมนติกหวานแหววมันก็จะไม่ค่อยจำเป็น สำหรับคู่เราการที่ได้มีเวลาทำกิจกรรมอยู่ในบ้านร่วมกันมันก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุด หรือมีโอกาสพิเศษอย่างวันเกิด วันครบรอบแต่งงาน เราก็จะบอกชัชว่าไม่ต้องซื้อของขวัญ ไม่ต้องทำเซอร์ไพร์ส อยู่ด้วยกันทำกิจกรรมด้วยกันก็พอแล้ว"

          คุณชัชเล่าบ้าง "คงเพราะผมได้มีโอกาสเดินทางไปโน่นมานี่ เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ผมก็จะซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับมาอยู่แล้ว พอถึงโอกาสพิเศษของขวัญมันก็เลยไม่จำเป็น หรืออย่างดอกกุหลาบ ใครๆ ก็จะนิยมให้ในวันวาเลนไทน์ แต่สำหรับผมมันไม่จำเป็น เพราะถ้าคนเราให้ดอกกุหลาบ แต่ไม่เคยทำเรื่องดีๆ ให้กันเลยมันจะความหมายอะไรครับ"

          คุณปุ้ยกล่าวว่า "ใครๆ ก็มองว่าเราไม่มีเวลา จริงๆ แล้วก็กลับบ้านทุกวันนะ แต่ก็ยอมรับว่าเดือนหนึ่งเราจะมีไปต่างจังหวัดครั้งหนึ่ง บางเดือนก็สองครั้ง แรกๆ ก็มีบ้างนะที่ลูกจะบอกว่าผมอยากให้แม่อยู่กับผม ตอนหลังใช้วิธีพาเขาไปด้วย พอไปบ่อยๆ เขาก็จะบอกว่าไม่ไปแล้ว รู้ว่าแม่ไปทำงาน แม่กลับวันไหน เราก็จะคุยกัน ที่สำคัญก็คือว่าครอบครัวเราเหมือนครอบครัวของรายการ คือค่อนข้างสนิทสนมกัน ไม่ว่าจะเป็น น้าแมร์ น้าไก่ น้านีน่า ลุงเจ๋งโปรดิวเซอร์ ตอนหลังเวลาเราไปไหนลูกจะไม่มางอแงว่าทำไมแม่ต้องไป คือเค้าก็จะค่อนข้างเข้าใจงานของเรามากขึ้น"

          ระยะเวลา 6 ปี ที่ใช้ชีวิตร่วมกันแม้ว่าจะไม่ใช่เวลาที่มากมาย แต่ก็มากพอที่จะทำให้เกิดความประทับใจระหว่างกันได้หลายสิ่งหลายอย่าง จนสามารถที่จะถ่ายความรู้สึกดีๆ ในกันและกันนั้นให้เราฟังได้

          คุณปุ้ยขอเริ่มก่อน"เรารู้สึกว่าชัชเขาไม่เหมือนใคร เค้าเป็นผู้ชายที่มีระเบียบ มีความรับผิดชอบในครอบครัว เรื่องของการดูแลครอบครัวเราให้คะแนนเขาค่อนข้างเยอะ อาจจะเป็นเพราะว่าเขามาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดี พ่อแม่เขาจะสอนให้เขาดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่ พี่สาว น้องสาว พอทุกวันนี้เราต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับเขา แทบว่าไม่ต้องคิดเรื่องภายในบ้าน นอกจากเขาจะอยากได้ความคิดเห็นว่า อย่างนี้ดีไหม อย่างนั้นดีไหม แต่ส่วนใหญ่เราก็จะยกให้เขาเป็นคนตัดสินใจ การดูแล ความใส่ใจของเขามันตรงใจเราทุกอย่าง"

          คุณชัชเสริมว่า "คงเพราะผมติดความมีระเบียบที่พ่อแม่ผมสอนมาตั้งแต่เด็ก พ่อผมสอนให้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายรายเดือน แม่ผมสอนให้ผมเป็นคนที่รักสะอาด ผมก็จะติดมาใช้กับครอบครัวตัวเองด้วย"

          คุณปุ้ยกล่าวชื่นชมสามีว่า "ไปดูตู้เสื้อผ้าเขาสิ จัดเรียงสวยงามเป็นระเบียบเหมือนไม่ใช่ตู้เสื้อผ้าผู้ชาย"

          คุณชัชขอพูดถึงความประทับในภรรยาบ้างว่า "สำหรับผม ปุ้ยเขาเป็นคนตั้งใจทำงาน ตั้งใจทำทุกอย่าง แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเป็นแม่บ้านแม่เรือน แต่ในเรื่องอื่นเขามีความพร้อมที่จะเป็นภรรยาที่ดี ที่สำคัญปุ้ยไม่เคยเหลวไหล ไม่เที่ยว บางทีผมอยากชวนเขาไปเที่ยวกลางคืน ยังไม่ไปเลย"

          คุณปุ้ยเสริมว่า "เราอยากให้ชัชไปกับเพื่อนมากกว่า เขาจะได้พูดคุยตามประสาผู้ชาย ไม่ต้องมาคอยอึดอัดกับการที่มีเรานั่งอยู่ แล้วอีกอย่างการที่เราแต่งงานจนมีลูก ก็คงไม่ต้องไปตามหึงตามโกรธเขาตลอดเวลาที่เขาไปเที่ยวหรอกค่ะ"


          คุณชัชขอพูดต่อ "แต่ว่าทุกครั้งที่เขาว่างผมต้องว่างนะ อย่างเขาเลิกงานบ่ายสอง กลับบ้านมาไม่เจอผม จะต้องโทรตามให้มาอยู่ด้วย หรือถ้าเขาจะไปต่างจังหวัดเสาร์-อาทิตย์ จะไม่เจอเรา 2 วัน วันศุกร์ผมห้ามไปไหนต้องอยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ประมาณนี้"

          คุณปุ้ยรีบอกว่า "ตอนนี้ก็ชินแล้วไง เวลามีเพื่อนมาชวน เขาก็จะบอกว่า ไม่ได้ๆ พรุ่งนี้ปุ้ยจะไปต่างจังหวัด เป็นอันรู้กันกับเพื่อนว่าชัชเขาจะออกไปไหนไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนเพื่อนโทรชวนออกไปเที่ยว เราก็จะบอกเพื่อนเขาเลยว่าจะมาชวนกระทันทันแบบนี้ไม่ได้"

          คุณชัชเย็บ "เดี๋ยวนี้เวลาใครโทรชวนเที่ยว ต้องนัดหมายเป็นเดือน เพื่อดูว่าปุ้ยเขาว่างหรือเปล่า ถ้าเขาว่างเพื่อนก็รอไปก่อน"

          คุณปุ้ยเสริม "ก็มียกเว้นเป็นกรณีไป เช่นเพื่อนเขาอกหักรักคุด กำลังจะตายแล้ว เออแบบนี้จะไปก็ไป เดี๋ยวมันจะตายไปซะก่อน เรายอมนะ"

          ก่อนจบคุณชัชเอ่ยประโยคสารภาพความในใจว่า "ไม่เป็นไรครับ สำหรับผม ปุ้ยและลูกต้องมาก่อนเสมอ" คุณปุ้ยยิ้มรับโดยไม่ต้องพูดอะไรต่อ

          ความของทั้งคู่แม้จะดูเรียบง่ายในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อทั้งคู่ได้เข้ามาใช้ชีวิตร่วมกัน กลับเข้มข้นมีชีวิตชีวาน่าสนใจไม่เหมือนใคร เราเชื่อว่าแง่มุมดีๆ ในการใช้ชีวิตครอบครัวของคุณปุ้ยและคุณชัช คงทำให้หลายๆ คู่น่ากลับไปเป็นแง่คิดในการใช้ชีวิตคู่ของตอนเองได้อย่างดีทีเดียว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 
ขอขอบคุณภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด และทางอินเทอร์เน็ต

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ปุ้ย - พิมลวรรณ + ชัช ชัชพงษ์ เพราะรักจึงเข้าใจ อัปเดตล่าสุด 25 กันยายน 2551 เวลา 14:30:07 35,720 อ่าน
TOP