x close

อภิสิทธิ์ เสียใจถูกทำร้าย ยังมีคนซ้ำเติม


สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และคมชัดลึก

          วันนี้ (10 พฤษภาคม) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงการทำงานตลอด 4 เดือนที่ผ่านมาว่า ตนไม่ท้อ เพราะตนได้อาสาตัวเข้ามารับใช้ประชาชน ส่วนเรื่องความเหนื่อยนั้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งตนไม่เคยคิดว่าทำไมต้องอะไรกับตนเอง เช่น เหตุการณ์ประกาศทำร้ายตน

          "ผมอยู่ในวงการเมืองมา 17 - 18 ปี ไม่เคยเห็นทำการแบบนี้เลย ช่วงที่ผ่านมามีการประกาศบนเวทีว่าจะมีการจัดทีมคนไล่ล่าคนนั้นคนนี้ นอกจากนี้ ยังมีการพูดว่าในวันที่รถผมถูกทุบในกระทรวงมหาดไทย ผมไม่ได้อยู่ในรถ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีความพยายามทำอะไรแบบนี้กันอยู่ ผมจะสร้างสถานการณ์เพื่ออะไร เมื่อได้ประกาศ พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไปแล้ว เพราะว่าคนที่ประกาศสั่งการอยู่หน้ากระทรวงก็เป็นแกนนำเสื้อแดงชัดเจน ถ้าผมขึ้นรถช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ก็คงถึงตัวผมแล้ว ขณะที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีอยู่ในรถก็ได้รับบาดเจ็บ คงไม่มีใครกล้าลงทุนขนาดนั้น การทำร้ายคนอื่นก็แย่อยู่แล้ว แทนที่จะเห็นใจ กลับมาพูดทำร้ายอีก ไม่น่าจะเป็นแนวทางการต่อสู้ทางการเมืองที่เหมาะสม" นายกรัฐมนตรี กล่าว


อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ



          ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องเศรษฐกิจว่า จากการคาดการณ์ถึงการจัดเก็บภาษีต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จึงได้กำหนดแนวทางไว้อย่างชัดเจน เพื่อลดผลกระทบจากกรณีดังกล่าว คือ การจัดเก็บรายได้ ในส่วนของฐานภาษีบาป ประกอบด้วย สุรา และบุหรี่ ซึ่งนอกจากจะเอื้อต่อรายได้ของรัฐบาลแล้ว ยังสอดคล้องกับนโยบายสาธารณสุข ด้านสุขภาพคนไทย และการปรับพฤติกรรมของประชาชน

          "ทั้งนี้ ในส่วนของเบียร์นั้น ได้ขยับขึ้นอัตราภาษีชนเพดานที่ 60% หรือ 4-6 บาท จะเพิ่มรายได้ให้รัฐถึง 7-8 พันล้านบาท ขณะที่ภาษีสุราประเภทอื่นๆ ก็จะปรับขึ้นตามเช่นกัน เช่น สุราขาว สุราผสม บรั่นดี ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ยกเว้นประเภทที่มีอัตราภาษีชนเพดานแล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลจะระมัดระวังผลกระทบต่อสุราชุมชน หรือสุราโอท็อปด้วย ในส่วนของบุหรี่ ขณะนี้ภาษีบุหรี่อยู่ในอัตราชนเพดานแล้ว จึงจะขยายเพดานภาษีเพิ่ม เพื่อให้เกิดการจัดเก็บที่สมเหตุผลที่สุด" นายกรัฐมนตรี กล่าว     

          สำหรับเรื่องภาษีน้ำมันนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากรัฐบาลจำเป็นต้องปรับเพดาน และอัตราการจัดเก็บในส่วนดังกล่าว รัฐบาลจะปรับลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำมัน เนื่องจากรัฐบาลตระหนักดีว่าน้ำมันเป็นต้นทุนสำคัญ อีกทั้งปัจจุบัน ฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ยังคงอยู่ในภาวะที่ดีพอสมควร

          อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดการปรับขึ้นภาษีชนิดอื่นเพิ่มเติม นอกเหนือจากภาษีที่ได้กล่าวมาแล้ว ยกเว้นภาษีทรัพย์สิน และภาษีมรดก ที่เป็นนโยบายสำคัญ แต่ยังต้องใช้อีกระยะ เวลาในการร่างกฎหมายเกี่ยวกับภาษีทั้งสองชนิด   

          สำหรับเรื่องวงเงินงบประมาณนั้น นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า จำเป็นต้องปรับวงเงินงบประมาณลง เพื่อให้งบประมาณขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท ตามกรอบของกฎหมาย และใกล้เคียงกับการขาดดุลงบประมาณ ในปีปัจจุบัน อีกทั้งรัฐบาลจะยังคงใช้นโยบายการคลัง ในลักษณะของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรักษาวินัยทางการเงิน การคลัง ซึ่งถือเป็นการปรับลดวงเงินงบประมาณครั้งแรก ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ รัฐบาลได้ปรับลดงบประมาณของทุกกระทรวง ยกเว้นกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที และกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ รัฐบาลจะปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น แต่จะไม่ตัดทอนรายจ่ายในส่วนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงไม่ตัดในส่วนของสิทธิประโยชน์ประชาชนด้วย เช่น เรียนฟรี รักษาฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 


         

Pic_4944



          ในส่วนของการเงินลงทุน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะพิจารณาโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และเป็นโครงการผูกพันมาตั้งแต่แรก แต่ที่สำคัญ คือ ต้องเป็นโครงการที่พร้อมใช้จ่ายทันที เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุน ตามวัตถุประสงค์ 7 ข้อ คือ 1.การบริหารจัดการน้ำ 2.ระบบขนส่ง คมนาคม โลจิสติกส์ 3. การปรับปรุงด้านสาธารณสุข 4. การปรับปรุงสถานศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียน 5.การสนับสนุนภาคท่องเที่ยวและบริการ 6.การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 7.การพัฒนาพื้นที่พิเศษ​ 

          นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า เม็ดเงินลงทุนในอนาคต จะอยู่ที่ประมาณ 6-8 แสนล้านบาท คาดว่าจะมาจากการกู้เงินภายในประเทศ เช่น การออกพันธบัตร ประกอบกับสภาพคล่องส่วนเกินของธนาคาร และสถาบันการเงิน ขณะนี้ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเม็ดเงินลงทุนจำนวนดังกล่าว ดังนั้น ประชาชนจึงไม่ควรวิตกกังวล อีกทั้งยังมั่นใจว่าการลงทุนในโครงการ 7 วัตถุประสงค์ดังกล่าว จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทย ภายในปี 2555 ทั้งนี้ ภายใต้วงเงิน 8 แสนล้านบาท รัฐบาลจะออก พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ วงเงิน 4 แสนล้านบาท เนื่องจากเป็นความจำเป็นเร่งด่วน   

          นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันอีกว่า การดำเนินการทั้งหมดนี้ จะเป็นไปด้วยความโปร่งใส และประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก ต่อหนี้สาธารณะที่จะพุ่งขึ้นถึง 60% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี เนื่องจากในระดับดังกล่าว ยังเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ดังนั้น การบริหารจัดการลักษณะนี้ จึงไม่ได้เป็นความผิดพลาดใดๆ และมั่นใจว่าจะเป็นแนวทางที่ทำให้ฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปได้ รวมถึงประเทศไทยจะกลับมามีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
       
 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อภิสิทธิ์ เสียใจถูกทำร้าย ยังมีคนซ้ำเติม อัปเดตล่าสุด 10 พฤษภาคม 2552 เวลา 17:39:51 21,958 อ่าน
TOP