ปณิธาน วัฒนายากร
ปณิธาน วัฒนายากร
สั่งปลด "ปณิธาน" พ้นโฆษก ดึง "อภิรักษ์" แทน (ไทยรัฐ)
เผย อภิสิทธิ์ ไม่ปลื้มผลงาน ปณิธาน วัฒนายากร ในฐานะโฆษกรัฐบาล ตอบโต้ประเด็นทางการเมืองไม่ได้ดั่งใจ หารือ ชวน ก่อนปลด ให้เหลือเพียงรองเลขาฯ ตำแหน่งเดียว ทาบทาม อภิรักษ์ โกษะโยธิน แทน
วานนี้ (10 สิงหาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า จากการที่ นายปณิธาน วัฒนายากร ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ผ่านมาเกือบ 8 เดือน การทำหน้าที่ในฐานะเป็นโฆษกรัฐบาล กลับไม่ได้ช่วยรัฐบาลประชาสัมพันธ์ผลงาน ได้เท่าที่ควรจะเป็น
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการตอบโต้และชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองต่างๆ ให้กับรัฐบาล ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรับมนตรี นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือกัน จนกระทั่งได้ตัดสินใจ ถอด นายปณิธาน ออกจากตำแหน่งโฆษกรัฐบาล ให้เหลือเพียงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว
โดยการตัดสินใจดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ ได้ปรึกษากับ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่นายอภิสิทธิ์ ได้ขอให้นายชวน ดึงตัวนายปณิธานมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งนายชวน ก็ไฟเขียวและสนับสนุนการตัดสินใจของนายอภิสิทธิ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด ในช่วงเที่ยงวันที่ 10 สิงหาคม ที่ห้องรับรองนายกรัฐมนตรี ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือร่วมกับนายปณิธาน ซึ่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะมีโฆษกรัฐบาลคนใหม่ ที่เป็นคนที่สามารถตอบโต้และชี้แจงทางการเมืองได้ ซึ่งนายปณิธาน ได้ยอมรับที่จะออกจากตำแหน่งดังกล่าว เหลือเพียงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
ทั้งนี้ ได้มีการทาบทาม นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีให้มาดำรงตำแหน่งโฆษกรัฐบาล โดยนายชุมพล กาญจนะ ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ทาบทาม ซึ่งนายอภิรักษ์ ได้ขอเวลาตัดสินใจระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากนายอภิรักษ์ ไม่สนใจตำแหน่งนี้นายอภิสิทธิ์ได้รับปากกับนายปณิธาน ว่า ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นายอภิรักษ์ ก็จะมาขอความเห็นจากนายปณิธาน เพื่อให้เสนอชื่อบุคคลมาเพื่อพิจารณา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก กรุงเทพธุรกิจ
