รัฐประหาร
นักวิชาการหวั่น ครบ 3 ปี รัฐประหาร การเมืองเดือด (ไทยรัฐ)
น.พ.บรรพต อดีตคณะกรรมการศูนย์สันติวิธีฯ แนะรัฐฯ เสื้อแดง และฝ่ายค้าน หันหน้าปรองดองสร้างสันติสุขร่วมกัน หวั่น รัฐประหารครบ 3 ปี ทำการเมืองดุเดือด วอนประชาชนให้โอกาสรัฐบาลทำงานพัฒนาประเทศต่อไป
เมื่อวานนี้ (1 กันยายน) นายแพทย์บรรพต ต้นธีรวงศ์ อดีตคณะกรรมการศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล กล่าวถึงแนวทางแก้ไขและสร้างความสงบสุขและสันติให้เกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดง และฝ่ายค้าน ว่า วิธีแก้ไขและสร้างสันติสุข ให้เกิดขึ้นภายในประเทศที่ดีที่สุด คือทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน พิจารณารับผิดชอบและหาทางออกร่วมกันว่ามีวิธีการใดที่ช่วยให้ได้รับความเป็นธรรมเท่ากัน เพราะเวลานี้ทุกฝ่ายต่างพยายามเล่นสงครามจิตวิทยา สาดคำพูดตอบโต้กันไปมา ทั้งเรื่องการออกพระราชบัญญัติความมั่นคงควบคุมสถานการณ์ชุมนุม เรื่องคลิปเสียงนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และยิ่งใกล้วันครบรอบ 3 ปี ของการกระทำรัฐประหาร วันที่ 19 กันยายน การต่อสู้สงครามการเมืองคงดุเดือดขึ้นตามลำดับ
น.พ.บรรพต กล่าวต่อว่า ส่วนรัฐบาลจะมีมติต่ออายุของ พรบ.ความมั่นคง ต่อเนื่องไป หลังหมดอายุลงภายในวันนี้ ( 1 กันยายน) หรือกำหนดขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อกลุ่มเสื้อแดงนัดออกมาชุมนุมใหม่ นั้น ตนมองว่าเป็นอำนาจการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีว่าจะมีวิธีการดำเนินงานอย่างไรให้สถานการณ์เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ปราศจากความวุ่นวาย เชื่อว่าถ้ารัฐบาลต่ออายุของ พรบ.ความมั่นคง ออกไป อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน ชุมชน และสังคม ให้เกิดความตึงเครียดและไม่สบายใจได้ แต่ในทางกลับกันการที่รัฐฯออก พรบ.ความมั่นคง เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง รักษาความปลอดภัยและความสงบสุขในสังคม
"ต้องช่วยกันหาทางออกร่วมกันว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้อย่างไร ไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก เพราะรัฐฯก็เคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้วเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมาที่ไม่ได้มีการออกมาตรการควบคุมสถานการณ์จนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศมาก" อดีตคณะกรรมการศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล กล่าว
นพ.บรรพต กล่าวด้วยว่า อยากให้ทุกฝ่ายนึกถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้มากขึ้น ไม่เข้าใจเรื่องใดให้หันหน้าเจรจากัน เวลานี้ยังไม่ต้องการให้รัฐบาลยุบสภา เพราะจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนให้โอกาสและระยะเวลารัฐบาลทำงานเพื่อเดินหน้าพัฒนาประเทศต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก กรุงเทพธุรกิจ
