x close

จับทิศทางการเมืองปีเสือ จะเจรจาหรือล้างไพ่ ให้ไม่เสียเลือดเนื้อ


คนเสื้อแดง

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ทักษิณ ชิณวัตร


จับทิศการเมืองปีเสือ"เจรจา-ล้างไพ่"ไม่เสียเลือดเนื้อ (คมชัดลึก)

          แนวโน้มการเมืองปี 2553 น่าจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ "กลุ่มเสื้อแดง" ที่ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะมีการชุมนุมช่วงปลายเดือนมกราคม 2553 ก่อนที่จะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นการโหมโรงก่อน ประกอบกับการพิจารณาคดีใหญ่ได้ยกยอดมาพิจารณาต้นปีหน้าแทบทั้งสิ้น

          ไม่ว่าจะเป็น คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหามีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณากรณีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท, คดีทุจริตคลองด่าน, คดีที่ดินบาปอัลไพน์, คดีแกนนำพันธมิตรและกลุ่มเสื้อแดงบุกทำเนียบรัฐบาล-สนามบิน

          ทั้งหมดล้วนเป็นคดีใหญ่มีผลชี้ว่าการเมืองไทยจะเปลี่ยนไปทิศทางใดแทบทั้งสิ้น

          โดยเฉพาะคดีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท และคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของทักษิณ ดูจะเป็น "คดี" ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเมืองปี 2553 มากที่สุด

          แง่หนึ่งอาจมองได้ว่าเป็น คดีที่เป็นเครื่องตัดสินบรรยากาศการเมืองไทยในปี 2553 แต่อีกมุมหนึ่งเหมือนเป็นคดีที่จะทำให้ปัญหาการเมืองไทยที่กำลังวุ่นวาย คลี่คลายไปในทางที่ดี หากว่าทุกฝ่ายสามารถหันหน้ามา "เจรจา" กันได้

          ในทางตรงกันข้ามเกิดเหตุฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง "ล้มโต๊ะเจรจา" การเมืองปี 2553 ก็คงมีบรรยากาศวุ่นวายไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา

          โดยเฉพาะ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่ฉายชัดว่ามีพฤติกรรม "สู้เพื่อนาย" คงเป็นกลุ่มหลักที่ถูกมองว่าจะสร้างความปั่นป่วนให้กับการเมืองในปีหน้ามากอีกกลุ่มหนึ่ง

          หากจะดูบริบทของ "ทักษิณ" ที่มีกลุ่มเสื้อแดงเป็นเครื่องมือในการเดินเกมทางการเมืองจะเห็นเกม "สองหน้า"

          ด้านหนึ่งเหมือนต้องการ "เจรจา" เห็นได้จากคำให้สัมภาษณ์ของ "นพดล ปัทมะ" ทนายประจำตัวของทักษิณ ที่ระบุเสมอว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมเจรจา และยินดีเลิกเล่นการเมือง

          แต่อีกหน้าหนึ่งเล่นบท "ข่มขู่" และกดดันเมื่อไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

          เพราะสถานการณ์ที่ "ทักษิณ" รู้สึกถูกกดดันอย่างหนักต้องระเหเร่ร่อนอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง มีเงิน แต่ไม่มีความสุข ใจจริงอยาก "เจรจา" แต่ต้องไม่เสียหน้า ทรัพย์สินยึดได้ แต่อย่าให้เสียภาพลักษณ์

          แต่เมื่อ "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" องคมนตรี ปฏิเสธเป็นตัวกลางในการเจรจากับ "ทักษิณ" ประตูที่ทำท่าจะเปิดก็กลับถูกปิดตายทั้งสองด้าน

          เมื่อ "ทักษิณ" เองก็เห็นว่าสถานการณ์ในขณะนี้มาไกลเกินกว่าที่จะเกิดการเจรจา

          จะเห็นว่าสิ่งแรกที่ "สุรยุทธ์" ต้องประสบหลังจาก "หันหลัง" ให้ "นายใหญ่" นั่นคือกลุ่มคนรักทักษิณ ก็เริ่มโจมตี "สุรยุทธ์" ในประเด็นบุกรุกเขายายเที่ยง ที่ จ.นครราชสีมา ทันที

          ประเด็น "เขายายเที่ยง" เงียบหายไปพร้อมกับความเป็น "อดีตนายกรัฐมนตรี" ของ "สุรยุทธ์" และได้กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับ "ทักษิณ"

          จากนี้ไป "เขายายเที่ยง" กับ "เงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท" จะถูกนำมาเป็นประเด็นใหญ่ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่จะมีขึ้นหลังปีใหม่

          โดยเริ่มที่ประเด็น "เขายายเที่ยง" ซึ่งในวันที่ 11 มกราคมนี้ "คนเสื้อแดง" จะเดินทางไปชุมนุมที่หน้าบ้าน "สุรยุทธ์" ที่เขายายเที่ยง พร้อมปราศรัยโจมตี ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างชนชั้นที่ถูกเลือกปฏิบัติ

          นอกจากนี้ "กลุ่มคนเสื้อแดง" จะรอการตัดสินใจของ "คณะกรรมการการเลือกตั้ง" (กกต.) ว่าจะตัดสินใจยกคำร้องหรือเสนอยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท

          ไม่ว่า กกต.จะตัดสินใจอย่างไร "คนเสื้อแดง" ก็จะนำมาเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ถ้า กกต.ยกคำร้อง ก็จะโจมตีในประเด็นความยุติธรรมที่ใช้หลัก 2 มาตรฐานมาตัดสิน

          หาก กกต.ตัดสินใจเสนอ "ยุบ" สถานการณ์เป็นรองจะตกอยู่กับ "พรรคประชาธิปัตย์" โดยเฉพาะ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี จะมีอำนาจต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลน้อยลง หรืออาจไม่มีเลย พรรคเพื่อไทยจะอาศัยสถานการณ์นี้ ไปเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล ให้หันมาจับมือกับพรรคเพื่อไทย ตั้งรัฐบาลร่วมกันหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

          ขณะเดียวกัน "พรรคประชาธิปัตย์" ก็จะถูก "พรรคร่วมรัฐบาล" กดดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ "พรรคภูมิใจไทย" และ "พรรคชาติไทยพัฒนา" เพราะถ้าเลือกตั้งโดยใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ทั้งสองพรรคจะเสียเปรียบพรรคเพื่อไทย ในประเด็นเขตเลือกตั้งที่ไม่เอื้อต่อพรรคขนาดเล็ก

          อย่างไรก็ตาม หาก "ประชาธิปัตย์" ยอมทำตามข้อเรียกร้องของ "พรรคร่วมรัฐบาล" โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะเกิดการชุมนุมของ "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ที่มี "แกนนำกลุ่มพันธมิตร" และ พรรคการเมืองใหม่ เป็นแนวร่วม เนื่องจากเคยประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

          ปี 2553 จึงถือเป็นที่ "รัฐบาล" ที่มี "พรรคประชาธิปัตย์" เป็นแกนนำต้องเจอปัญหารุมเร้าทั้งในสภาและนอกสภา

          ขณะที่ "ทักษิณ" ในทางการเมืองถือว่าอำนาจต่อรองฝ่ายทักษิณมีมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเทียบกับในสมัยที่ "สมัคร สุนทรเวช" และ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะขณะนี้ "ทักษิณ" ไม่ได้ชนะเลือกตั้ง แต่ชนะในทางการเมือง สิ่งที่ "ทักษิณ" พูดเสมอมีคนจำนวนมากฟัง และเชื่อในบางเรื่องว่าเป็นจริง เช่น ระบบยุติธรรมใช้หลัก 2 มาตรฐาน, ความยุติธรรมไม่มีอยู่จริง, บ้านเมืองในขณะนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย

          และชัยชนะทางการเมืองที่สำคัญสำหรับ "ทักษิณ" นั่นคือ ประเทศกัมพูชา เป็นหลังพิงให้ "ทักษิณ" และกลุ่มแนวร่วมทักษิณ อดีตนายทหาร อดีต ส.ส. และกลุ่มคนเสื้อแดง!!

          เพราะนี่คือทางเดียวที่จะทำให้ทักษิณรอดพ้นจากคดีความ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น หรือระยะยาวที่จะต้องพยายามตรึงและสร้างฐานเสียงให้แข็งแกร่ง เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่อาจเกิดจากการยุบสภา หรือพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรค

          แต่เรื่องราวอาจไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เมื่อการต่อสู้ที่เกิดขึ้นวันนี้ และอีกระยะหนึ่งข้างหน้านั้นมันเป็นเรื่องการต่อสู้ของ 2 ขั้วอำนาจ

          หากประชาธิปัตย์เพลี่ยงพล้ำ ในขณะที่พรรคการเมืองสำรองไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทย หรือชาติไทยพัฒนา ไม่อาจเติบโตได้ทัน การเมืองในปี 2553 ก็จะกลายเป็นการเมืองที่อึมครึมไปตลอดทั้งปี

          เพราะระหว่างกองทัพกับพรรคเพื่อไทยนั้น แม้ส่วนยอดจะพอคุยกันได้ แต่คนที่กำลังอยู่ในไลน์ที่จะก้าวขึ้นมากลับเหมือนเส้นขนาน

          หากพรรคเพื่อไทย ยังมีแนวโน้มที่จะกำชัยชนะในการเลือกตั้งที่หากเกิดขึ้นในปี 2553 มีใครกล้ารับประกันไหมว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปกันจริงๆ ?

          อุบัติเหตุทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น ปฏิวัติ รัฐประหาร มีใครกล้ารับประกันหรือไม่ว่า จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อีก โดยเฉพาะในภาวะที่หากรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่อาจประคับประคองกันต่อไปได้

          บ้านเรายังไปไม่ได้ไกลพอที่จะหลีกพ้นอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ

          ไม่ได้ให้ยอมรับ แต่ให้รับรู้ว่า นี่คือความจริง !

          แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ทางออกที่ดีคือ นายกรัฐมนตรี ต้องเชิญทุกฝ่ายมาหารือวาระสร้างความสามัคคีในชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาล องค์กรต่าง ๆ เพราะขณะนี้ถือว่าแต่ละฝ่ายได้เดินมาสุดทางแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวคือ การปะทะกันด้วยการใช้กำลัง

          การเจรจาต้องเริ่มจากคืนความยุติธรรมให้คนไม่ผิด ในการเจรจาคงไม่มีใครได้หรือเสียทั้งหมด แต่ถือเป็นการล้างไพ่โดยไม่เสียเลือดเนื้อ

          ทั้งหมดที่ว่ามานั้น ก็ยังคงมีคำถามว่า การเมืองปี 2553 มันจะไปได้สักเพียงไหน เมื่อกำหนดนัดปลายมกราคมนี้ เปิดประชุมสภา สองขั้วอำนาจก็จะเริ่มเผชิญหน้ากันแล้ว





ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
จับทิศทางการเมืองปีเสือ จะเจรจาหรือล้างไพ่ ให้ไม่เสียเลือดเนื้อ อัปเดตล่าสุด 31 ธันวาคม 2552 เวลา 23:21:44 9,353 อ่าน
TOP