เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
มีกี่เหตุผลที่คนเราจะใช้วิธี "เดินเท้า" ไปยังเป้าหมายที่อยู่ไกลนับพันกิโลเมตร แต่สำหรับคณะ "เดินเพื่อสันติภาพปัตตานี" ซึ่งมี รศ.ดร.โคทม อารียา นักวิชาการด้านสันติวิธี ในฐานะ ผอ.ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ระยะทางดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่พวกเขาต้องการจะไปให้ถึง นั่นคือการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง แล้วหันมาพูดคุยเจรจาแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
การเรียกร้องเชิงสัญลักษณ์นี้ คณะใช้วิธีเดินเท้าจากมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จ.นครปฐม มุ่งหน้าไปยังมัสยิดกลาง จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ความรุนแรงยังคุกรุ่นอยู่ โดยเริ่มออกเดินตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีกำหนดถึงที่หมายวันที่ 1 กันยายน รวมระยะเวลา 53 วัน กับระยะทางอีกร่วม 1,000 กิโลเมตร
เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องเดิน เดินแล้วได้อะไร รศ.ดร.โคทม ให้เหตุผลว่า การเดินเป็นการใช้ความเพียร ความอุตสาหะ และแสดงให้เห็นว่ามีความตั้งใจจริง ไม่ใช่เพียงแต่พูดอย่างเดียว อีกประการหนึ่ง การเดินทำให้มีโอกาสพบปะชาวบ้านตลอดเส้นทาง มีโอกาสชักชวนให้พวกเขาร่วมคิดถึงปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นของเขาเอง
ขณะที่ อาจารย์งามศุกร์ รัตนเสถียร อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในคณะที่ร่วมเดินเท้า เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่พบเจอระหว่างทางว่า ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับชาวบ้าน จะไถ่ถาม สารทุกข์สุกดิบกัน ทำให้รู้ว่าแต่ละท้องที่มีปัญหาอะไรบ้าง อีกทั้งระหว่างทาง เรายังเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนร่วมทางแต่ละคน เราเห็นว่ามุมมองของเขาเปลี่ยนไป มีน้องคนหนึ่งที่เดินด้วยกัน เขาบอกว่า ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาได้ยินเรื่องราวความทุกข์ยากของผู้คน ซึ่งมันก็คงไปสะดุดความรู้สึกของเขาเองไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คณะเดินสันติภาพปัตตานี เข้าสู่เขต จ.สุราษฎร์ธานี เกินครึ่งทางแล้ว หวังว่าความเพียรและอุตสาหะจากการเดินครั้งนี้ จะส่งผลให้ทั้งรัฐบาลก็ดี ผู้ก่อการก็ดี หรือแม้แต่ชุมชน 2 ข้างทาง ที่พวกเขาเดินผ่านและพูดคุยด้วย เห็นตรงกันว่า หนทางเดียวที่จะยุติศึกไฟใต้ได้นั้น ต้องใช้การเจรจาพูดคุยบนพื้นฐานของหลักสันติวิธีเท่านั้น
"สันติภาพ" และ "สงบสุข" จึงจะบังเกิดขึ้น
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
