ธ.ก.ส.พร้อมลุยประชานิยม สนองรัฐบาลเพื่อไทย พักหนี้ชาวนา-จำนำข้าว (ไทยโพสต์)
ธ.ก.ส.เร่งเตรียมข้อมูลสนองประชานิยม "ทักษิณ" คืนชีพ ทั้ง "พักหนี้-จำนำ" วอนรัฐคืนหนี้จำนำเก่า พร้อมหาทุนใหม่ให้ คาดใช้ 1.5 แสนล้านรับจำนำข้าวนาปี ยอมรับ "บัตรเครดิตเกษตรกร" ของใหม่ แบงก์ไร้ประสบการณ์ แต่คาด 3-4 เดือนเริ่มได้ โยนสำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯ หาตังค์ต่อยอดเอง
นายประกิต เชวงนิรันดร์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างเตรียมข้อมูลการดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่หาเสียงไว้รวม 4 เรื่องด้วยกัน คือ โครงการพักหนี้ครัวเรือนละ 5 แสนบาท เป็นเวลา 3 ปี, โครงการจำนำข้าว, โครงการบัตรเครดิตเกษตรกร และเพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้าน โดยจะต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเสนอรัฐบาลใหม่พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร
สำหรับการพักหนี้ครัวเรือนละ 5 แสนบาท 3 ปี จะเสนอเป็นทางเลือกการดำเนินการ ว่าจะทำเหมือนอดีตที่มีการพักหนี้ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่พักหนี้ต่อรายทันที 1 แสนบาท หรือจะเลือกพักหนี้เฉพาะที่มีปัญหา หรือแนวทางอื่น ๆ
โดยที่ผ่านมาการพักหนี้สมัยรัฐบาลทักษิณ พบว่า มีเกษตรกรเข้าข่ายเป็นจำนวนมากกว่า 70% ของลูกค้าทั้งหมดของธนาคาร หรือประมาณ 3 ล้านครัวเรือน จาก 4 ล้านครัวเรือน ดังนั้น หากจะพักหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาทต่อครัวเรือน คาดว่าปริมาณลูกหนี้ที่จะเข้าร่วม น่าจะอยู่ระดับเดียวกัน ส่วนการพักหนี้เฉพาะที่มีปัญหา น่าจะมีลูกค้าเข้าร่วมประมาณ 20%
นายประกิตกล่าวว่า ส่วนการรับจำนำข้าว ธนาคารพร้อม เพราะมีระบบอยู่แล้ว คาดว่าจะเริ่มได้ทันฤดูการปลูกข้าวนาปี ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2554 นี้ โดยจะรับข้าวเปลือกเจ้า 1.5 หมื่นบาทต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 2 หมื่นบาทต่อตัน
อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอว่ารัฐบาลต้องดูแลภาระหนี้ประมาณ 1.5-1.6 แสนล้านบาท ที่เกิดการรับจำนำในอดีต และหาเงินทุนสำหรับโครงการใหม่ โดยการจำนำรอบใหม่นี้ อาจให้เฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหรือผ่านการทำประชาคมแล้ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท
สำหรับบัตรเครดิตเกษตรกร ยอมรับว่า ธ.ก.ส.ไม่เคยทำมาก่อน โดยตามนโยบายจะให้เกษตรกรมีบัตรเครดิตและมีวงเงิน และสามารถเอาวงเงินในบัตรไปรูดจากร้านค้าต่างๆ ในการซื้อปุ๋ย ยา และค่อยมาขึ้นเงินกับธนาคาร ซึ่งส่วนนี้คงต้องใช้เวลาศึกษาและพัฒนาระบบประมาณ 3-4 เดือน แต่เชื่อว่าน่าจะทันการเพาะปลูกในรอบใหม่ ช่วงเดือน ธ.ค.2554-ม.ค.2555
ทั้งนี้ หลักการเบื้องต้นคือถ้ามีเกษตรกรมาขอกู้วงเงิน 1 แสน ธนาคารอาจกันวงเงิน 30% ไว้สำหรับการซื้อปัจจัยการผลิต
"ตอนนี้ปัญหาของบัตรเครดิตเกษตรกรอยู่ที่ระบบ ถ้าระบบเสร็จก็สามารถทำได้ทันที โดยเกษตรกรทุกรายสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ทั้งลูกค้าของธนาคารและไม่ใช่ ซึ่งธนาคารจะคิดดอกเบี้ยตามอัตราของธนาคาร ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต" นายประกิตกล่าว
ส่วนกรณีกองทุนหมู่บ้าน ที่จะมีการเพิ่มวงเงินจาก 1 ล้าน เป็น 2 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันทุกกองทุนยังมีหนี้กับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ดังนั้น จึงขึ้นกับว่าสำนักงานดังกล่าวจะหาเงินมาให้ได้หรือไม่ ซึ่งจะต่างกับช่วงแรกที่ต้องใช้ ธ.ก.ส.กับธนาคารออมสินเข้าไปดูแล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
