เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เสนอ 3 แนวทาง ปฏิรูปการเลือกตั้ง ชี้ปัจจุบันเอื้อแค่ 2 พรรคใหญ่ พรรคที่เหลือเป็นเพียงไม้ประดับ แนะใช้การเลือกตั้ง MMP แบบผสมผสาน
วานนี้ (12 ตุลาคม) ในการสัมมนาเรื่อง "การปฏิรูประบบเลือกตั้ง" โดยมีหัวข้ออภิปรายคือ "แนวทางปฏิรูปการเลือกตั้ง : อำนาจหน้าที่ กกต. ระบบเลือกตั้ง โดยมี นายโคทม อารียา อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดี คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และนายสกุล สื่อทรงธรรม อดีต กกต. กทม. ร่วมอภิปราย
ทั้งนี้ นายโคทม กล่าวว่า ระบบการเลือกตั้งในปัจจุบันสมควรที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะในขณะนี้มีการเลือกตั้งเอื้อให้เกิดสองพรรคใหญ่ ๆ และเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แล้วหากบ้านเมืองเรามีเพียงสองพรรคสองพวกก็คงไม่เหมาะ เพราะการเดิมพันอำนาจมันสูง การแย่งชิงกันจึงรุนแรง ตนคิดว่า จึงควรเปลี่ยนแนวให้เกิดพรรคการเมืองที่หลากหลายจะดีกว่า และรูปแบบการเลือกตั้งแบบพวงใหญ่ที่เคยใช้มานั้นมันไม่ได้ผล เพราะประชาชนมักจะเลือกพรรคมากกว่าเลือกที่ตัวบุคคล
นายโคทม ยังกล่าวด้วยว่า ตนอยากจะแนะระบบการเลือกตั้ง 3 ทางเลือก คือ
1. ระบบคู่ขนาน ที่มีทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่ออย่างที่เป็นอยู่ แต่ปรับสัดส่วนให้เท่า ๆ กันหรือใกล้เคียงกันมากขึ้น
2. ระบบสัดส่วนที่มีสมาชิกแบบผสม คือ พรรคจะต้องมีจำนวน ส.ส. เท่ากับ ส.ส.ที่ชนะเลือกตั้งแบบแบ่งเขต บวกกับเพิ่มจำนวนขึ้นหากคำนวณสัดส่วนของเสียงที่ได้ทั้งประเทศแล้วมากกว่าจำนวน ส.ส. ที่มีอยู่
3. ระบบคะแนนเสียงเดียวโอนได้ ซึ่งมีวิธีคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่กระจายทุกคะแนนของผู้เลือกให้มีความหมายและผลต่อจำนวน ส.ส. ที่แต่ละพรรคได้
ทั้งนี้ นายโคทม ระบุว่า โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับระบบที่สองและสาม เพราะสะท้อนเจตนารมณ์ของผู้เลือกมากกว่า
ขณะที่ นายปริญญา กล่าวว่า จากการที่เปลี่ยนให้ กกต. มีอำนาจให้ใบเหลืองใบแดงก่อนการประกาศผล ทำให้ทาง กกต. เน้นไปที่การควบคุมและจัดการการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่กฎหมายไม่ได้บอกว่า กกต. จะต้องจัดการการเลือกตั้งเองเลย และส่วนตัวมองว่าการให้ใบเหลืองนั้นไม่ได้ผล เพราะชาวบ้านก็ยังเลือกกันอยู่ ควรที่จะเลิกแจกใบเหลืองไปดีกว่า แต่ใบแดงนั้น ควรที่จะมีอยู่
อย่างไรก็ตาม นายปริญญา กล่าวด้วยว่า สำหรับภารกิจจัดการเลือกตั้งนั้น ทาง กกต. รับภาระหนักพออยู่แล้วทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ซึ่งตนคิดว่าในระบบการตัดสินความผิดต่อการเลือกตั้งควรให้ศาลเป็นผู้ดูแล เพื่อให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้ พอเลือกตั้งเสร็จพร้อมประกาศผล จากนั้นก็ให้ส่งเรื่องทุจริตไปให้ศาล ซึ่งนำไปสู่ปลายทางคือการยุบพรรคจะได้ไม่เป็นปัญหา
นอกจากนี้ นายปริญญา ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการเลือกตั้งแบบสัดส่วนมีส่วนช่วยให้เกิดการกระจายของที่นั่ง ส.ส. ไม่ให้กระจุกอยู่กับพรรคใหญ่ และผลใกล้เคียงกับการตัดสินใจลงคะแนนของผู้โหวตโดยรวมมากกว่า ซึ่งต่างกับระบบแบ่งเขต ที่พรรคใหญ่มักจะเสียเปรียบ เนื่องจากคนที่แพ้ในแต่ละเขตก็จะถูกทิ้งหมด อย่างไรก็ตาม หากมีการเลือกตั้งอีกสองสามครั้ง ประเทศไทยก็จะเหลือพรรคใหญ่แค่สองพรรค ส่วนพรรคอื่นก็จะกลายเป็นไม้ประดับเท่านั้น
นายปริญญา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งตอนนี้มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบแบ่งเขต มี 75 % นำไปสู่ระบบสองพรรค แต่แบบสัดส่วน 25 % นำไปสู่หลายพรรค ซึ่งมีเพียง 30 ประเทศในโลกเท่านั้นนี้ยังใช้ระบบเลือกตั้งผสมแบบคู่ขนาน รวมถึงประเทศไทยด้วย ส่วนอีกแบบคือ ใชแบบผสมผสานหรือ MMP ซึ่งเขานำผลคะแนนมาคิดรวมให้ได้ ส.ส. แบบเขตก่อน แล้วนำเอาที่เหลือมาคิดเป็นสัดส่วน โดยขณะนี้มีใช้อยู่ทั้งสิ้น 9 ประเทศ และตนก็เห็นว่าประเทศไทยก็น่าจะใช้การเลือกตั้งแบบ MMP จะดีกว่า เพราะจะได้สะท้อนเจตนารมณ์ตรงของประชาชนจริง ๆ
ขณะที่ นายสกุล กล่าวว่า ประเทศไทยถึงเวลาที่จะต้องปรับระบบการเลือกตั้งแล้ว เนื่องจากระบบที่ใช้อยู่เกิดปัญหาคนแพ้แล้วแพ้ไม่เป็น พยายามจะล้มฝ่ายรัฐบาลทุกวิถีทางไม่ว่าจะรัฐบาลไหน ๆ แต่ส่วนตัวตนคิดว่าเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งให้เป็นแบบ MMP ก็จะดีเหมือนกัน และน่าจะแก้ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นได้ในขณะนี้ เพราะทุกคะแนนเสียงนั้นมีผลอย่างเป็นธรรม และทุกคนที่ใช้สิทธิ์จะได้รู้ว่า คะแนนที่ตนเองเลือกนั้นไปอยู่ที่ไหน
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน นายพิชาย กล่าวว่า การที่ กกต. ขยายระบบราชการนั้น ทำให้เกิดอุปสรรค เพราะวัฒนธรรมราชการไม่เอื้อให้เกิดการปฏิรูป หรือมีการขยายโครงสร้าง และงานเอกสารมากมายจนงานหลักด้านการส่งเสริมการเลือกตั้งที่ดีไม่เดินหน้า เนื่องจาก กกต. ส่วนมากเกรงใจนักการเมืองจนไม่กล้าเอาผิด แจกใบเหลืองใบแดง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก