เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ลูกพี่ลูกน้อง อัลรูไวลี่ บินมาไทย ตามคดีพี่ชาย มูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย หายตัวไปในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2533 ศาลเตรียมนัดพร้อมคู่ความวันนี้ ยันดำเนินคดีที่คลุมเครือกว่า 23 ปีให้สิ้นสุด ส่วนที่สื่อคาดว่าเกี่ยวกับคดีเพชรซาอุฯ นั้น คงต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน
วานนี้ (19 พฤษภาคม 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอาทีก อัลรูไวลี่ พี่ชาย และนายมาทรูค อัลรูไวลี่ ลูกพี่ลูกน้องของนายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียที่หายตัวไปในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2533 ได้เดินทางมาถึงประเทศไทย เพื่อติดตามการดำเนินคดีของนายมูฮัมหมัด โดยศาลอาญาเตรียมนัดพร้อมคู่ความ ในวันที่ 20 พฤษภาคม ระบุต้องการค้นหาความจริงในคดีที่คลุมเครือมานานถึง 23 ปี
โดยนายมาทรูคและนายอาทีกได้ร่วมกันให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ตัดสินใจเดินทางมาผลักดันคดีในช่วงเวลานี้ว่า ช่วงนี้มีความคืบหน้าของคดีในทางชั้นศาลเลยเดินทางมาติดตามคดี โดยในวันที่ 20 พฤษภาคมจะมีการนัดคู่ความที่ศาลเพื่อเป็นการประชุมคดี เพื่อกำหนดประเด็นในคดีและเพื่อจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับพยานหลักฐานทั้งหมด จะเป็นการพบกันของฝ่ายโจทยก์และจำเลย การเดินทางมาครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าคำร้องของตนเกี่ยวกับคดีนี้จะต้องดำเนินการต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการนัดพร้อมคู่ความที่ศาลนั้น สองพี่น้องอัลรูไวลี่จะต้องพบกับจำเลยที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของนายมูฮัมหมัด หากสามารถพูดกับจำเลยได้อยากจะกล่าวอะไร นายมาทรูค กล่าวว่า สิ่งที่ทุกคนในครอบครัวต้องการรู้ก็คือเกิดอะไรขึ้นกับมูฮัมหมัดเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ด้านนายอาทีก เสริมว่า ต้องการความยุติธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้
ทั้งนี้ นายมาทรูคยังได้กล่าวถึงทนายความที่มาช่วยดำเนินคดีในครั้งนี้ว่า ผู้รับหน้าที่เป็นชาวไทยซึ่งจัดหามาโดยรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย และก็เชื่อว่าทนายความคนดังกล่าวจะได้รับการคุ้มครองเป็นอย่างดี ขณะที่อาทีก เผยว่า ถ้าหากคดีถึงที่สุดแล้วไม่มีความจริงปรากฏและไม่มีผู้มารับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตนจะไม่หยุดเพียงแค่นี้และจะนำคดีส่งต่อให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียดำเนินการต่อในระบบยุติธรรมระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายมาทรูค ระบุว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ติดต่อทางการรัฐบาลไทย หรือหน่วยงานของไทยแต่อย่างใด แต่ได้ติดตามคดีผ่านทางสถานทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทยอยู่ตลอด นอกจากนี้ยังได้เรียกร้องไปยังรัฐบาลไทยให้ทำเรื่องนี้ให้สิ้นสุดลงโดยเร็ว รัฐบาลไม่ควรปกป้องผลประโยชน์ของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง เนื่องจากประชาชนทั้งสองชาติต้องทนทุกข์จากคดีนี้มาโดยตลอด
นอกจากนี้ นายมาทรูคกล่าวถึงกรณีมีสื่อวิเคราะห์กันว่า คดีนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเพชรซาอุฯ ที่หายไปว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงการคาดคะเนของสื่อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ขณะที่เรื่องของแรงจูงใจในการก่อเหตุของคนร้ายในการลักพาตัวนายมูฮัมหมัดนั้น ได้รับทราบมาหลายเรื่องราวแต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อเรื่องไหน เป็นหน้าที่ของทางการไทยจะต้องนำหลักฐานต่าง ๆ มาวิเคราะห์และชี้ว่าเรื่องจริงคืออะไร ตลอดช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา รู้สึกเหมือนอยู่ในความมืดและศาลจะต้องเป็นผู้หาคำตอบดังกล่าว คดีนี้ไม่ได้เป็นข่าวและเป็นที่สนใจเฉพาะในประเทศไทยหรือครอบครัวเท่านั้น แต่สื่อมวลชนในประเทศซาอุดีอาระเบียก็ติดตามข่าวนี้เป็นระยะเช่นกัน เพื่อรอฟังว่าผลของคดีที่คลุมเครือมากว่า 23 ปีจะเป็นอย่างไร และความจริงคืออะไร
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก