x close

ตอบโจทย์ 13 เงื่อนงำปริศนาคดีฆ่าเอกยุทธ ที่มากกว่าฆ่าชิงทรัพย์


เอกยุทธ อัญชันบุตร


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก เอกยุทธ อัญชันบุตร

            แม้จะเป็นข่าวใหญ่มานานกว่าสัปดาห์แล้ว แต่คดีการฆาตกรรม นายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังอย่างอุกอาจนี้ ยังคงสร้างความสงสัยให้แก่คนในสังคมไม่น้อย เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าไม่พบพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่จะทำให้สรุปได้ว่าแรงจูงใจของคดีนี้ไม่ใช่การฆ่าชิงทรัพย์ของคนขับรถ ต่างจากฝ่ายญาติและทนายความส่วนตัวของนายเอกยุทธที่ยังคงมั่นใจว่า คดีนี้ยังมีพิรุธอีกมาก และไม่ใช่การฆ่าชิงทรัพย์ธรรมดา ๆ แน่นอน

            รายการตอบโจทย์ ทางช่องไทยพีบีเอส เมื่อคืนวันที่ 19 มิถุนายน 2556 จึงได้ตั้งคำถามและข้อสงสัย เพื่อหาบทสรุปของคดีนี้ ร่วมกับความคิดเห็นของ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการตำรวจสันติบาล และนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความส่วนตัวของนายเอกยุทธ

            สำหรับ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ คือบุคคลหนึ่งที่ออกมาตั้งข้อสงสัยในคดีนี้ว่าไม่น่าจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ เพราะเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2556 ก่อนเกิดเหตุดังกล่าวประมาณเดือนเศษ ๆ เขาเคยได้พูดคุยกับนายเอกยุทธโดยบังเอิญที่ต่างประเทศ ซึ่งนายเอกยุทธก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก จากการที่ไปโพสต์ข้อความเกี่ยวกับความสัมพันธ์บางสิ่งบางอย่างของบุคคลบางคนในสื่อออนไลน์ ที่นายเอกยุทธเองก็กังวลว่า ข้อความเหล่านั้นอาจเป็นเหตุให้เกิดการประทุษร้ายต่อชีวิตได้

            พ.ต.ท.สันธนะ เล่าต่อว่า หลังจากนายเอกยุทธเสียชีวิต ตนเองได้กลับไปดูข้อความที่นายเอกยุทธโพสต์ย้อนหลัง แล้วก็พบข้อความที่โพสต์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2556 ซึ่งอาจจะเป็นเหตุที่เป็นคันเร่งทำให้มีคนต้องสั่งการ หรือรีบดำเนินการประทุษร้ายต่อชีวิตของนายเอกยุทธให้ได้

            อดีตรองผู้กำกับ ยังบอกด้วยว่า นายเอกยุทธหายตัวไปตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน จนมาเป็นข่าวถึงวันนี้ก็เกือบสองสัปดาห์แล้ว แต่ที่เขาเพิ่งจะออกมาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่นั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาติดตามข่าวการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวนมาตลอด แล้วมาสะดุดว่าเจ้าหน้าที่ทำงานไม่ถูกต้อง เพราะคดีนี้ยังมีพิรุธซึ่งปะติดปะต่อกันไม่ได้ เชื่อมกันไม่ได้เลย จากประสบการณ์ที่เคยทำงานมา จึงต้องออกมาบอกให้สังคมรู้ว่าอย่าปล่อยให้ผ่านไป

            เช่นเดียวกับ นายสุวัตร ที่บอกว่าในฐานะที่เขาเป็นทนายความของนายเอกยุทธ เขาก็ต้องเชื่อมั่นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อจะได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ ต่อมา เมื่อได้เห็นสำนวนคดีของเจ้าหน้าที่ก็รู้สึกว่ายังไม่ถูกต้อง เขาจึงได้ยื่นข้อสงสัย 13 ข้อเกี่ยวกับคดีนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตรวจสอบ เพราะไม่เห็นด้วยกับความเห็นที่ฝ่ายรัฐออกมายืนยันว่าเป็นการประสงค์ต่อทรัพย์

สำหรับ 13 ข้อข้องใจในคดีฆ่าเอกยุทธ อัญชันบุตร นั้น ประกอบด้วย

            1. จะฆ่าชิงทรัพย์ ทำไมนำทรัพย์สินไปทิ้งน้ำ
            2. ก่อเหตุ 2 คนจริงหรือไม่ ทำไมนายเอกยุทธไม่ต่อสู้ขัดขืน
            3. นายสันติภาพโทรหาใครช่วงที่อยู่ร้านอาหาร
            4. ตำรวจต้องติดตามตัวนายเปี๊ยกที่ถูกอ้างเป็นผู้นำกุญแจมือ และโทรศัพท์มาให้
            5. ต้องหาฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดที่หายไป และกู้ข้อมูลคืน
            6. ที่อ้างว่าแวะพักใน จ.นครศรีธรรมราช เป็นบ้านของใคร แวะทำไม
            7. ต้องหาภาพวงจรปิดในจุดที่ถูกบีบคอ และคนขับสิบล้อที่ไปขอความช่วยเหลือ
            8. นายเอกยุทธถูกทำร้ายที่ใบหน้าหรือไม่
            9. กระเป๋าของนายเอกยุทธหายไปไหน
            10. ทำไมจึงมีอาการบวมของลูกอัณฑะ
            11. ต้องตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าปากซอยประดิพัทธ์ 17 เนื่องจากพบผู้ต้องสงสัย
            12. ต้องหาลายนิ้วมือแฝง และดีเอ็นเอของบุคคลอื่นในรถโฟล์คตู้
            13. ต้องหาคราบเลือดของผู้ร่วมฆ่าที่เสื้อผ้าผู้ตาย

            เหตุผลเหล่านี้ ทำให้นายสุวัตรเชื่อว่าคดีนี้น่าจะเป็นการประสงค์ต่อชีวิต แล้วเอาเรื่องทรัพย์มาเบี่ยงประเด็น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยว่า หากประสงค์ทรัพย์จริง ทำไมคนร้ายต้องนำสร้อยพระกับนาฬิกามูลค่ามหาศาลไปโยนทิ้งแม่น้ำ นี่จึงยังตอบโจทย์ไม่ได้ หากเจ้าหน้าที่สามารถตอบได้ทั้ง 13 ข้อนี้ ก็จะทำให้สำนวนสมบูรณ์มากขึ้น แต่หากตอบไม่ได้ ก็ต้องมีคำถามถามต่อได้อีกมาก

            เมื่อถามว่าใน 13 ข้อนี้ ข้อไหนที่สำคัญที่สุด และตำรวจต้องเร่งทำเป็นข้อแรก ๆ...นายสุวัตร ให้คำตอบว่า

            "ต้องเร่งหาฮาร์ดดิสก์จากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่บ้านคุณเอกยุทธที่ถูกถอดทิ้งไป โดยกล้องนี้สามารถดูภาพได้จากไอแพด ไม่ว่าคุณเอกยุทธไปอยู่ที่ไหนก็สามารถดูความเคลื่อนไหวภายในบ้านได้หมด เมื่อคนร้ายถอดฮาร์ดดิสก์ไปแล้ว ก็ยังเหลือตัวเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทที่ให้บริการเก็บข้อมูลสำรองอยู่ ตำรวจต้องไปหาตรงนี้มาให้ได้ เพราะจะได้ทราบว่าผู้เข้าร่วมขบวนการอุ้มฆ่ามีกี่คน เนื่องจากคนร้ายได้เข้าไปในบ้าน"

            นอกจากนี้ ตำรวจต้องตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือของนายสันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถ ว่าระหว่างที่รอนายเอกยุทธอยู่ที่ร้านอาหารครัวกระแต นายสันติภาพได้คุยโทรศัพท์กับใครอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ตัวเองก็มีโทรศัพท์อยู่ 2 เบอร์แต่กลับไม่ใช้ กลับมาใช้อีกเบอร์ซึ่งเป็นเบอร์พิเศษเฉพาะทำงานนี้อย่างเดียว เพื่อติดต่อกับผู้บงการหรือทีมอุ้มฆ่า หากตำรวจได้โทรศัพท์เครื่องนี้มาก็จะรู้จุดเชื่อมโยงว่าโทรไปหาใคร แล้วโยงแตกกิ่งไปเรื่อย ๆ

            ขณะเดียวกัน นายสุวัตร ยังได้เบาะแสมาว่า ก่อนก่อเหตุ ทีมอุ้มนายเอกยุทธได้ไปรวมตัวกันหน้าปากซอยประดิพัทธ์ 17 ก่อนที่นายสันติภาพจะวนรถออกไปรับ ซึ่งตรงนั้นมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ได้ ตำรวจต้องไปขอภาพมาดู

            "อีกอย่างที่สำคัญคือทำไมคนร้ายต้องถอดเสื้อผ้าออกจากศพคุณเอกยุทธทั้งหมด แสดงว่ามีเจตนาจะอำพรางศพ คนที่ทำอย่างนี้ต้องมีความรู้เรื่องการสอบสวน เพราะเสื้อจะต้องมีเหงื่อ มีเลือด มีน้ำลายของคนร้าย สามารถนำมาตรวจดีเอ็นเอได้หมด รวมทั้งกระเป๋าหลุยส์ที่คุณเอกยุทธถืออยู่ตลอดเวลา ในนั้นจะมีเงินสด โทรศัพท์ ของมีค่า ก็ยังไม่ได้มา ได้มาแต่ปืนที่อยู่ในกระเป๋า หากตำรวจได้สิ่งของเหล่านี้มาจะทำให้สำนวนสมบูรณ์ขึ้น และจะพิสูจน์ได้ว่าคนร้ายมีแค่ 2 คนจริงหรือ? เพราะมีการต่อสู้กันเกิดขึ้น" นายสุวัตร ตั้งคำถาม

            ขณะที่ ในมุมมองของอดีตตำรวจสันติบาล อย่าง พ.ต.ท.สันธนะ ก็มองว่า หากรู้จักนายเอกยุทธดีจะรู้ว่านายเอกยุทธไม่ใช่คนที่ใครจะมาทำอะไรได้ง่าย ๆ เพราะผ่านเรื่องมาโชกโชน อย่างที่เห็นว่าเขาพยายามดิ้นรนสุดชีวิตก่อนถูกฆ่า หากมีแค่นายสันติภาพ และนายสุทธิพงศ์ 2 คน นายเอกยุทธน่าจะสามารถต่อสู้ได้ เพราะเป็นคนรูปร่างใหญ่ ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีตัวละครเพียงแค่ 2 คน

            "หากบอกว่าคนขับรถต้องการฆ่าเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ และเป็นทรัพย์ในอนาคตด้วย เพราะจับไปก่อนแล้วจะบังคับให้เขียนเช็ค เพื่อจะได้ไปขึ้นเงิน ซึ่งไม่รู้ด้วยว่ามีเงินไหม คิดได้ขนาดนั้นไม่น่าเป็นไปได้" อดีตนายตำรวจ ย้ำ และมั่นใจว่า "คดีนี้เกิดจากนักฆ่ามืออาชีพ ไม่ใช่พวกสมัครเล่นแน่นอน และต้องเป็นพวกมีสีแน่นอน เป็นพวกที่มีประสบการณ์ในการทำงาน"

            พ.ต.ท.สันธนะ ได้แนะนำให้เจ้าหน้าที่เริ่มสืบสวนคดีนี้ย้อนไปตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2556 ที่มีการโพสต์ข้อความที่กดดันให้คนร้ายต้องลงมือ โดยเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายถูกส่งตัวให้มาฝังตัวกับเป้าหมายในระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ดำเนินการอะไร กระทั่งนายเอกยุทธโพสต์ข้อความลงไปเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ผู้บงการจึงต้องสั่งการให้คนลงมือ ซึ่งก่อนหน้านี้นายเอกยุทธเคยบอกว่า กังวลในเรื่องนี้มากที่สุด เพราะไม่มีปัญหาเรื่องชู้สาวหรือการทำธุรกิจอื่น ๆ ที่จะเป็นมูลเหตุได้เลย

            ขณะที่คำให้การของ นายสันติภาพ และนายสุทธิพงศ์ ก็มีความขัดแย้งกัน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าใครเป็นคนลงมือฆ่านายเอกยุทธ โดยนายสุทธิพงศ์ ระบุว่า นายเอกยุทธถูกนายสันติภาพบีบคอตายไปแล้ว ก่อนที่นายสุทธิพงศ์จะนำเชือกผูกรองเท้ามาผูกคออีกที...แต่เรื่องนี้ ทนายสุวัตร มองว่าเป็นแค่การจัดฉาก ความจริงคือไม่มีการนำเชือกรองเท้ามาผูกคอ เพราะความยาวของเส้นเชือกไม่พอ และเชือกรองเท้าก็ยุ่ยแล้ว คนร้ายแค่ทำไว้อย่างนั้นเอง แล้วเชือกนี้ยังไปอยู่ที่หลุมศพของนายเอกยุทธด้วย

เอกยุทธ อัญชันบุตร

            ส่วนอีกข้อที่สงสัยก็คือ นายสันติภาพเป็นคนตัวเล็กกว่านายเอกยุทธ แม้จะสูงกว่า แต่หากนายเอกยุทธหนีจนต้องลงไปไล่จับตัวกันจริงแล้วนายสันติภาพได้บีบคอฆ่านายเอกยุทธไป ตามที่นายสุทธิพงศ์ให้การ ก็น่าจะมีร่องรอยการต่อสู้ แผลอะไรให้เห็นบ้าง เพราะคนที่กำลังจะตายต้องดิ้นรนเฮือกสุดท้ายแน่นอน แต่ทนายสุวัตรที่ได้พูดคุยกับนายสันติภาพหลังจากถูกจับกุมแล้วก็ยืนยันว่า เท่าที่มองเห็นภายนอกก็ไม่เห็นร่องรอยแผลอะไร จึงไม่เชื่อว่านายสันติภาพจะสามารถสู้กับนายเอกยุทธอย่างตัวต่อตัวจนสามารถบีบคอฆ่านายเอกยุทธได้

            ไม่ต่างจาก พ.ต.ท.สันธนะ ที่มองว่า คดีนี้เป็นการจ้างวานฆ่า คนร้ายจึงต้องแสดงสัญลักษณ์ของการจ้างวานฆ่า การนำเชือกผูกรองเท้ามาผูกไว้เฉย ๆ ที่คอก็เป็นการทำสัญลักษณ์ให้เห็นเจตนา รวมทั้งการถอดเสื้อผ้าศพที่นำไปฝังแล้ว โดยจากการที่ตนเคยพูดคุยกับผู้กระทำผิดที่พ้นโทษออกมาแล้ว คนร้ายทำเช่นนี้เพื่อต้องการ "ประจาน" เพราะส่วนหนึ่งของข้อความที่นายเอกยุทธโพสต์เป็นเรื่องเชิงชู้สาว นี่จะได้เป็นเหตุในการไปรับเงินจากผู้จ้างวานที่เป็นทอด ๆ ลงมา

            เมื่อถามถึงข้อข้องใจที่ว่าการที่นายเอกยุทธมีอาการบวมของลูกอัณฑะ จะเป็นประเด็นอย่างใดอย่างหนึ่งในคดีได้บ้าง เรื่องนี้ นายสุวัตร ตั้งข้อสังเกตว่านายเอกยุทธน่าจะถูกคนร้ายทำร้าย เพื่อเค้นให้นายเอกยุทธคายความลับอะไรออกมา

            "คุณเอกยุทธตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกอุ้มก็พยายามส่งสัญญาณตลอด ทั้งโทรไปหาพี่สาวว่ากุญแจบ้านอยู่ไหน ซึ่งตัวเองก็รู้อยู่แล้ว และยังส่งสัญญาณเรื่องสัญญาณโทรศัพท์ การเขียนเช็คผิด โยนแหวนเพชรทิ้งไว้ในรถ ทิ้งรองเท้า บอกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่เอาเงินไปให้ แต่ไม่มีใครรับสัญญาณเหล่านั้นได้"

            ส่วนประเด็นที่ว่าจะต้องมีคนร้ายมากกว่า 2 คนนั้น เป็นเพราะพบภาพจากกล้องวงจรปิดที่แยกวังมะนาวว่า มีอีกคนหนึ่งนั่งคู่อยู่กับคนขับรถ ซึ่งนายสันติภาพให้การอ้างว่าคนนั้นคือนายสุทธิพงศ์ แต่นายสุทธิพงศ์กลับให้การว่าตัวเองนั่งอยู่ข้างหลังกับศพ ซึ่งขัดกัน

            ในตอนท้าย พ.ต.ท.สันธนะ มองการทำหน้าที่ของตำรวจในคดีนี้ว่า เจ้าหน้าที่ถูกจำกัดการทำหน้าที่สืบสวนสอบสวน เพราะปัจจุบันนี้มีองค์กรอาชญากรรมที่สามารถสกัดอำนาจรัฐได้เกิดขึ้น ซึ่งร่วมมือกันทุกสีแล้ว

            "หากปล่อยให้คดีนี้ผ่านไป ทุกคนก็จะเป็นเป้านิ่ง หากวันใดที่คุณไปทำอะไรให้กระทบกระทั่งต่อจิตใจ หรือผลประโยชน์ของคนกลุ่มนี้ คุณก็จะตกเป็นเหยื่อทันที" พ.ต.ท.สันธนะ ระบุ

            ขณะที่ นายสุวัตร ลั่นวาจาว่า ตราบใดที่ตนยังดูแลคดีนี้อยู่ ตนต้องหาความเป็นธรรม หาความจริงให้ปรากฏ ให้กับนายเอกยุทธและครอบครัวให้ได้

            "ขอเรียนให้ทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุครั้งนี้เป็นคนรู้กฎหมาย รู้ลักษณะพยาน รู้ว่าจะกลบเกลื่อนพยานหลักฐานอย่างไร เป็นมืออาชีพ หากปล่อยให้ทีมนี้เติบโตไปในประเทศไทย อันตราย ขนาดเอกยุทธเป็นใคร เป็นคนระมัดระวังตัวแค่ไหน ย้อนไปถึงคดีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ถูกลอบยิง มาจนบัดนี้ก็ยังจับใครไม่ได้ ดังนั้น ถ้าหากคุณอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล คุณก็ต้องระมัดระวังตัวเอง" นายสุวัตร กล่าวด้วยความมั่นใจ 100% ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเมือง สอดคล้องกับ พ.ต.ท.สันธนะ ที่มองว่าคดีนี้เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัวของผู้จ้างวาน ซึ่งบุคคลนี้มีความใกล้ชิดกับฝ่ายการเมืองแน่นอน...


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตอบโจทย์ 13 เงื่อนงำปริศนาคดีฆ่าเอกยุทธ ที่มากกว่าฆ่าชิงทรัพย์ อัปเดตล่าสุด 15 สิงหาคม 2556 เวลา 10:18:31 3,693 อ่าน
TOP