เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ซีเรียประกาศกร้าวย้ำจุดยืนเดิมไม่ยอมจำนนให้กับสหรัฐฯ แม้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 รัสเซียส่งเรือรบติดขีปนาวุธไปประจำการเพิ่ม หนุนซีเรีย ขณะที่โอบามาเริ่มเดินสายขอเสียงสนับสนุนจากประเทศตะวันตก
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2556 เว็บไซต์สกายนิวส์ รายงานว่า ซีเรียประกาศกร้าวย้ำจุดยืนเดิมจะไม่ยอมจำนนให้กับกองทัพสหรัฐฯ แม้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 พร้อมเคลื่อนกำลังพลตั้งรับการถูกโจมตีทั่วประเทศ ด้านรัสเซียพร้อมหนุนซีเรีย ขอคัดค้านการใช้กำลังทหารโจมตีซีเรียแม้ผลการพิสูจน์จะปรากฏออกมาว่าซีเรียใช้อาวุธเคมีฆ่าประชาชนจริง เผยมีแผนรับมือการโจมตีจากสหรัฐฯ แล้ว และส่งเรือรบติดขีปนาวุธไปประจำการแล้วเช่นกัน ขณะที่ทางด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ เริ่มเดินสายขอเสียงสนับสนุนจากนานาชาติในการโจมตีซีเรีย
รายงานระบุว่า ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ จ่อเดินหน้าโจมตีซีเรียกรณีใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ด้าน ดร.บูไทนา ชาบาน ที่ปรึกษารัฐบาลอัสซาดของซีเรีย ได้ออกมากล่าวหาสหรัฐฯ ว่า สหรัฐฯ กำลังสร้างเรื่องโกหกให้ทั้งโลกเชื่อว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีฆ่าประชาชน เพื่อหาผลประโยชน์จากประเทศและประชาชนซีเรีย แต่รัฐบาลซีเรียขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน ขณะที่ทางด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของซีเรีย ได้เปิดเผยว่า ซีเรียยังคงยืนยันในจุดยืนเดิมว่าจะไม่ยอมจำนนให้กับคำขู่ใด ๆ ของสหรัฐฯ แม้ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ตาม ชาวซีเรียจะไม่ยอมสังเวยอิสรภาพของประเทศให้ใครเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่ากองทัพซีเรียได้เคลื่อนย้ายกำลังพล ฐานยิงจรวด ปืนใหญ่ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ไปประจำในย่านเมืองใหญ่ทั่วประเทศแล้ว เพื่อรับมือกับการโจมตีจากสหรัฐฯ
ส่วนทางด้านรัสเซีย ดูเหมือนว่าสถานการณ์ยิ่งคุกรุ่น ก็ยิ่งแสดงตัวชัดเจนว่าสนับสนุนซีเรียเต็มที่ โดยประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้เตือนสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรตะวันตกมา การโจมตีซีเรียเพียงฝ่ายเดียวโดยที่ไม่ได้รับไฟเขียวจากองค์การสหประชาชาตินั้น ถือเป็นการรุกรานซีเรีย พร้อมเปิดเผยว่าตอนนี้รัสเซียได้มีแผนการในการรับมือการโจมตีซีเรียจากสหรัฐฯ แล้ว โดยล่าสุดรัสเซียได้ส่งเรือรบติดขีปนาวุธไปยังน่านน้ำด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 10 วันในการเดินทางถึงที่หมาย และเปิดเผยด้วยว่า รัสเซียจะไม่สนับสนุนให้มีการปฏิบัติการทางการทหารต่อซีเรีย แม้สุดท้ายหลักฐานจะชี้ชัดว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองในกรุงดามัสกัส
ขณะที่ทางด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ นั้น ยังคงเดินหน้าหาแนวร่วมในการโจมตีซีเรียอย่างจริงจัง โดยได้เดินทางเยือนสวีเดนเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อเจรจาขอเสียงสนับสนุนในการใช้ปฏิบัติการทางการทหารโจมตีซีเรีย โดยเขาได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ และเขาเอง ต่างเห็นพ้องกันว่า นานาชาติไม่ควรนิ่งเฉยต่อความป่าเถื่อนเช่นนี้ การนิ่งเฉยต่อการเข่นฆ่าประชาชนมีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการทำร้ายเข่นฆ่ากันมากขึ้น และอาจทำให้ชาติอื่นใช้อาวุธเคมีเพื่อการก่อการร้ายด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ในช่วงค่ำวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโอบามายังมีกำหนดรับประทานอาหารค่ำกับนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ และฟินแลนด์ด้วย
ขณะที่คณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ในวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ลงมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน ด้วยคะแนนเสียง 10-7 ให้อำนาจรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้กำลังทางทหารต่อซีเรียได้ โดยมาตรการดังกล่าวนี้จะยื่นให้วุฒิสภาลงมติเต็มคณะลงมติอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม ต้องลุ้นกันว่าจะผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาหรือไม่ เพราะยังไม่มีความชัดเจน และยังต้องผ่านมติความเป็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเป็นด่านสุดท้ายด้วย
ส่วนสภาคองเกรส ก็ได้ปฏิเสธการประชุมร่วมกับรัสเซีย ในการหารือเรื่องวิกฤตการณ์ในซีเรีย โดยนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้แถลงต่อการปฏิเสธดังกล่าวว่า สหรัฐฯ ขออภัยและเสียใจที่จะเป็นต้องยกเลิกการประชุมร่วมกับรัสเซีย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทางการรัสเซียได้เปิดเผยว่า กำหนดการทุกอย่างยังมีอยู่ และจะพยายามให้มีการประชุมในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ล่าสุด ในการประชุมลับของรัฐสภาเยอรมันในวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา BND หน่วยข่าวกรองของเยอรมันได้เปิดเผยว่า ทางหน่วยงานได้ดักฟังโทรศัพท์ที่เชื่อกันว่าเป็นการสนทนาระหว่างผู้บัญชาการระดับสูงในกลุ่มติดอาวุธเฮซบอลเลาะห์และเจ้าหน้าที่ในสถานทูตอิหร่านประจำซีเรีย และพบว่าการใช้อาวุธเคมีในซีเรียนั้นเป็นคำสั่งของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด เอง โดยที่เขาสั่งลงมือนั้นเป็นเพราะกลัวว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาลจะเข้ายึดกรุงดามัสกัส
