กองปราบฯ คุมนักแสดงหนุ่ม "บูม จิรัชพิสิษฐ์" ฝากขังศาล หลังร่วมกับพี่น้องหลอกชาวต่างชาติลงทุนสูญเงินหลายร้อยล้าน ญาติยื่นขอประกันตัว ขณะที่พี่สาวติดต่อขอมอบตัว
วันที่ 10 สิงหาคม 2561 สำนักข่าว INN รายงานว่า พนักงานสอบสวนกองปราบปราม คุมตัว นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม นักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง ผู้ต้องหาตามหมายจับ ฐานร่วมกันฟอกเงิน มาขออำนาจศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผลัดแรก จากกรณีร่วมกับ นายปริญญา และ นางสาวสุพิชฌาย์ จารวิจิต พี่ชายและพี่สาว หลอกลวงนักลงทุนชาวต่างชาติ ให้ร่วมลงทุนบิตคอยน์ในประเทศไทย สร้างความเสียหายเกือบ 800 ล้านบาท แต่เบื้องต้น นายจิรัชพิสิษฐ์ นักแสดงหนุ่ม ยังให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ขณะที่พนักงานสอบสวนควบคุมตัว นายจิรัชพิสิษฐ์ มีสีหน้าอิดโรยเล็กน้อย สวมหมวกและแว่นกันแดด เดินก้มหน้า ก่อนถูกนำตัวไปตรวจประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ บริเวณห้องเวรใต้ถุนศาล
สำหรับคดีนี้ชั้นพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง และมูลค่าความเสียหายสูง เกรงว่าจะหลบหนี ส่วนญาติได้เดินทางมาศาลพร้อมยื่นหลักทรัพย์ ขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ขณะที่ พล.ต.ต. ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม ระบุถึงกรณีการจับกุม นายจิรัชพิสิษฐ์ ที่ถูกออกหมายจับฐานฟอกเงิน ร่วมกับนายปริญญา และนางสาวสุพิชฌาย์ จารวิจิต พี่ชายและพี่สาว ว่า สำหรับตัวนางสาวสุพิชฌาย์ เบื้องต้นได้มีการประสานผ่านคนกลางมาเพื่อขอเข้ามอบตัว แต่ยังไม่ได้มีการระบุวันเวลาและสถานที่ในการเข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ และสำหรับตัวนางสาวสุพิชฌาย์ ยังไม่พบข้อมูลว่ามีการหลบหนีออกนอกประทศ
ทั้งนี้จากการสืบสวน คาดว่าจะสามารถออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพิ่มอีกประมาณ 5-6 คน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ส่วนนายประสิทธิ์ บุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดหลักทรัพย์ ที่เข้ามาพบรองผู้บังคับการกองปราบปราม เพื่อเข้าชี้แจงอ้างว่าตนเองตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้เช่นเดียวกัน แต่จากการสืบสวน รวบรวมหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจพบข้อมูลที่เชื่อได้ว่านายประสิทธิ์ อาจจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน
นอกจากนั้น จากการตรวจสอบ 3 บริษัท ที่มีการเปิดทั้งในประเทศไทยและฮ่องกง ยังพบว่านายปริญญา (พี่ชาย) เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว และจากการตรวจสอบทะเบียนการค้าทั้ง 3 บริษัท พบว่ามีคนในตระกูลจารวิจิต เข้าไปมีส่วนร่วม และบางบริษัทที่มีการแอบอ้างกับผู้เสียหายไม่มีตัวตนจริง นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าวอีกหลายบริษัท ซึ่งตำรวจกองปราบปรามอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน
วันที่ 10 สิงหาคม 2561 สำนักข่าว INN รายงานว่า พนักงานสอบสวนกองปราบปราม คุมตัว นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม นักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง ผู้ต้องหาตามหมายจับ ฐานร่วมกันฟอกเงิน มาขออำนาจศาลอาญา รัชดาภิเษก ฝากขังผลัดแรก จากกรณีร่วมกับ นายปริญญา และ นางสาวสุพิชฌาย์ จารวิจิต พี่ชายและพี่สาว หลอกลวงนักลงทุนชาวต่างชาติ ให้ร่วมลงทุนบิตคอยน์ในประเทศไทย สร้างความเสียหายเกือบ 800 ล้านบาท แต่เบื้องต้น นายจิรัชพิสิษฐ์ นักแสดงหนุ่ม ยังให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ขณะที่พนักงานสอบสวนควบคุมตัว นายจิรัชพิสิษฐ์ มีสีหน้าอิดโรยเล็กน้อย สวมหมวกและแว่นกันแดด เดินก้มหน้า ก่อนถูกนำตัวไปตรวจประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ บริเวณห้องเวรใต้ถุนศาล
สำหรับคดีนี้ชั้นพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง และมูลค่าความเสียหายสูง เกรงว่าจะหลบหนี ส่วนญาติได้เดินทางมาศาลพร้อมยื่นหลักทรัพย์ ขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ขณะที่ พล.ต.ต. ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม ระบุถึงกรณีการจับกุม นายจิรัชพิสิษฐ์ ที่ถูกออกหมายจับฐานฟอกเงิน ร่วมกับนายปริญญา และนางสาวสุพิชฌาย์ จารวิจิต พี่ชายและพี่สาว ว่า สำหรับตัวนางสาวสุพิชฌาย์ เบื้องต้นได้มีการประสานผ่านคนกลางมาเพื่อขอเข้ามอบตัว แต่ยังไม่ได้มีการระบุวันเวลาและสถานที่ในการเข้ามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ และสำหรับตัวนางสาวสุพิชฌาย์ ยังไม่พบข้อมูลว่ามีการหลบหนีออกนอกประทศ
ทั้งนี้จากการสืบสวน คาดว่าจะสามารถออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพิ่มอีกประมาณ 5-6 คน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ส่วนนายประสิทธิ์ บุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดหลักทรัพย์ ที่เข้ามาพบรองผู้บังคับการกองปราบปราม เพื่อเข้าชี้แจงอ้างว่าตนเองตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้เช่นเดียวกัน แต่จากการสืบสวน รวบรวมหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจพบข้อมูลที่เชื่อได้ว่านายประสิทธิ์ อาจจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน
นอกจากนั้น จากการตรวจสอบ 3 บริษัท ที่มีการเปิดทั้งในประเทศไทยและฮ่องกง ยังพบว่านายปริญญา (พี่ชาย) เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว และจากการตรวจสอบทะเบียนการค้าทั้ง 3 บริษัท พบว่ามีคนในตระกูลจารวิจิต เข้าไปมีส่วนร่วม และบางบริษัทที่มีการแอบอ้างกับผู้เสียหายไม่มีตัวตนจริง นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าวอีกหลายบริษัท ซึ่งตำรวจกองปราบปรามอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน
ข้อมูลจาก สำนักข่าว INN