ดราม่าสุด ๆ เภสัชสาว ใช้เส้นพาคนในครอบครัว ลัดคิวฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ด้านโลกออนไลน์เผย ก่อนหน้านี้เธอเคยประกาศว่าไม่เอาวัคซีน mRNA พร้อมกับแชร์ข่าวจำนวนมากที่ปฏิเสธวัคซีนชนิดนี้ แบบนี้คือโป๊ะแตกหรือไม่โป๊ะ ?
กำลังเป็นดราม่าที่ร้อนแรงสุด ๆ ตอนนี้ เมื่อ นพ.แชมป์ สุทธิศรีศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ และนางปาณิสรา (สงวนนามสกุล) หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภคของโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ ได้แอบใช้เส้นพาคนในครอบครัวที่ไม่ใช่บุคลากรด่านหน้า มาฉีดวัคซีนไฟเซอร์จนเกิดเป็นกระแสเรียกร้องหาความเป็นธรรม และล่าสุดมีการตั้งคณะกรรมการสอบแล้ว
เรื่องราวนี้เริ่มขึ้น จากการที่มีคนส่งข้อมูลให้กับเพจการตลาดวันละตอน เพื่อบอกว่าที่โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา มีการสอดไส้คนมาร่วมฉีดวัคซีนไฟเซอร์ และอ้างว่าตัวเองคือด่านหน้า ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ซึ่ง นพ.แชมป์ ผอ.รพ.เฉลิมพระเกียรติ ออกมาเผยว่า โรงพยาบาลได้มีการสำรวจคนที่เข้าหลักเกณฑ์ไฟเซอร์ ทั้งบุคลากรในโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ บุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานประกอบการการแพทย์ ซึ่งได้รายชื่อมาทั้งหมด 138 คน โดยในนั้นมี 135 คนเป็นด่านหน้าจริง ส่วนอีก 3 คนไม่ใช่ คนแรกคือภรรยาของ นพ.แชมป์ ทำงานคลินิกเอกชน, คนที่สองคือ สามีของนางปาณิสรา เป็นเภสัชกรในร้านขายยาเอกชน และคนที่สามคือ ลูกจ้างในร้านขายยาดังกล่าว
ทั้งนี้ ทางสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้ 144 โดส เกินมา 6 โดส ที่เหลือนั้นนำไปฉีดบุคลากรของโรงพยาบาลที่ตั้งครรภ์ 2 คน, บุคลากรที่ยังไม่ได้วัคซีนใด ๆ เลย 3 คน และอีก 1 คนเป็นคนที่จองวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 3 แต่ยังไม่ได้ฉีด
เพจดังเอารายชื่อออกมาเผย พบมีสอดไส้ 3 คน เป็นเมีย ผอ.รพ. - สามีหัวหน้าเภสัช
เรื่องราวนี้เริ่มขึ้น จากการที่มีคนส่งข้อมูลให้กับเพจการตลาดวันละตอน เพื่อบอกว่าที่โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา มีการสอดไส้คนมาร่วมฉีดวัคซีนไฟเซอร์ และอ้างว่าตัวเองคือด่านหน้า ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ซึ่ง นพ.แชมป์ ผอ.รพ.เฉลิมพระเกียรติ ออกมาเผยว่า โรงพยาบาลได้มีการสำรวจคนที่เข้าหลักเกณฑ์ไฟเซอร์ ทั้งบุคลากรในโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ บุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานประกอบการการแพทย์ ซึ่งได้รายชื่อมาทั้งหมด 138 คน โดยในนั้นมี 135 คนเป็นด่านหน้าจริง ส่วนอีก 3 คนไม่ใช่ คนแรกคือภรรยาของ นพ.แชมป์ ทำงานคลินิกเอกชน, คนที่สองคือ สามีของนางปาณิสรา เป็นเภสัชกรในร้านขายยาเอกชน และคนที่สามคือ ลูกจ้างในร้านขายยาดังกล่าว
ทั้งนี้ ทางสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้ 144 โดส เกินมา 6 โดส ที่เหลือนั้นนำไปฉีดบุคลากรของโรงพยาบาลที่ตั้งครรภ์ 2 คน, บุคลากรที่ยังไม่ได้วัคซีนใด ๆ เลย 3 คน และอีก 1 คนเป็นคนที่จองวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็ม 3 แต่ยังไม่ได้ฉีด
ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้
สสจ. เผย คนที่อยู่ในคลินิกเอกชน อยากได้ไฟเซอร์ต้องได้ในล็อต 2 ผลการสอบ ผิดจริง
ด้าน นพ.นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เผยว่า วัคซีนไฟเซอร์ในล็อตนี้ ได้พิจารณาให้ฉีดบุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลก่อน ส่วนคลินิกเอกชนนั้น จะพิจารณาให้ในล็อต 2 ถ้าวัคซีนเพียงพอ และ นพ.แชมป์ ต้องตอบให้ได้ว่า จำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่เอาวัคซีนไปฉีดให้คนในคลินิกเอกชน หากตอบไม่ได้อาจมีผลทางวินัย
อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ถูกสอบสวนอ้างว่า ที่เอาวัคซีนไฟเซอร์ไปฉีดให้คนใกล้ตัว เพราะคิดว่าเป็นบุคลากรด่านหน้าที่ใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด 19 เช่นกัน
ภาพจาก ไทยพีบีเอส
ภาพจาก ไทยพีบีเอส
ชาวเน็ตเริ่มไล่ล่า เภสัชกรหญิงเคยลั่นจะไม่เอาวัคซีน mRNA โดนถล่มจนปิดเฟซบุ๊ก
อย่างไรก็ตาม ได้เกิดข้อวิจารณ์อย่างมโหฬาร เกี่ยวกับพฤติกรรมของ นางปาณิสรา ที่ก่อนหน้านี้เคยแชร์ข้อความเกี่ยวกับคนที่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา แม้ว่าจะฉีดวัคซีนโมเดอร์นาแล้ว พร้อมกับที่เธอเขียนข้อความว่า "ไม่เอา mRNA"
อีกทั้งเธอยังโพสต์ข้อความจำนวนมาก ที่แสดงออกว่าปฏิเสธการรับวัคซีนแบบ mRNA ชัดเจน รวมไปถึงช่วงที่โควิดสายพันธุ์เดลตาเริ่มแพร่ระบาดอย่างรุนแรง และมีเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก เธอก็บอกว่า "นายกฯ คงต้องออกกันหมดทั้งโลก"
งานนี้โดนสังคมโซเชียลถล่มและวิจารณ์ต่อพฤติกรรมของเธออย่างหนัก มองว่าเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง เหมือนเธอเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจเรื่องวัคซีน mRNA แต่กลับพูดปฏิเสธวัคซีนชนิดนี้ด้วยอารมณ์และการเมือง มากกว่าจะเชื่อในหลักฐานที่เป็นงานตีพิมพ์ ซึ่งพอวัคซีนมา ก็กลายเป็นว่าเธอยอมที่จะฉีด และยังเอาคนในครอบครัวมาฉีดด้วย จนทำให้ชาวเน็ตเข้าไปถล่มเฟซบุ๊กของเธอ จนต้องปิดเฟซบุ๊กหนี