เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้องมูล
กลอนไทยนับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของการเรียนวิชาไทย ซึ่งเราไม่เพียงแต่จะได้รับความเพลิดเพลินและความสนุกสนานไปกับคำกลอนเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนให้เห็นถึงความไพเราะทางภาษาที่กวีไทยได้ร้อยเรียงขึ้นมา และสามารถสื่อให้เห็นอารมณ์ ความคิด และทัศนคติของผู้แต่งในช่วงเวลานั้น ๆ ด้วยเช่นกัน แล้วเพื่อน ๆ รู้หรือไม่คะว่า การแต่งกลอนมีมาเป็นเวลานานแล้ว และมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยด้วยเช่นกัน
แม้ว่ากลอนเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดนั้นยังไม่ปรากฏแน่ชัด เพราะบางตำราก็กล่าวว่ามีแต่งกันมาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนบางตำราก็ว่าเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าบรมโกศในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้ที่สันนิษฐานว่า กลอนนั้นน่าจะเป็นของไทยแท้โดยได้ดัดแปลงมาจากเพลงพื้นบ้านไทย ซึ่งนิยมเล่นเป็นกลอนสด เช่น เพลงพวงมาลัย เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงฉ่อย เป็นต้น ทั้งนี้ เนื่องจากชาวไทยพื้นบ้านมีการร้องเพลงกันอยู่ทั่วไป และยิ่งเพลงเล่นสัมผัสได้มากเท่าใด ก็ยิ่งสนุกมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าในระยะแรก ๆ จะเล่นกันโดยไม่มีระเบียบแบบแผนกำหนดว่าต้องมีสัมผัสกันตรงไหนบ้าง ดังจะเห็นได้จากกลอนลิเก ซึ่งสัมผัสได้ตามใจชอบ แต่ก็ขอให้มีคำคล้องจองกันเท่านั้น ดังนั้นแม้ว่าบางคนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถเล่นกลอนเพลงต่าง ๆ ได้เช่นกัน
จนกระทั่งมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นยุคที่กลอนเฟื่องฟูมาก โดยกวีเอกที่สำคัญของไทย คือ สุนทรภู่ เป็นผู้คิดแบบสัมผัสในของกลอน ทำให้กลอนมีความไพเราะเพิ่มมากขึ้น จึงกลายเป็นแบบฉบับของกลอนในสมัยต่อมาตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
สำหรับประเภทของกลอน แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
1. กลอนลำนำ ได้แก่ กลอนบทละคร กลอนสักวา กลอนเสภา กลอนดอกสร้อย และกลอนขับร้อง
2. กลอนตลาด ได้แก่ กลอนเพลงยาว กลอนนิราศ กลอนนิยาย และกลอนเพลงปฏิพากย์
3. กลอนสุภาพ ได้แก่ กลอน ๖ กลอน ๗ กลอน ๘ และกลอน ๙
ทั้งนี้ กลอนสุภาพ ถือได้ว่าเป็นแม่บทของกลอนทั้งหลาย เนื่องจากกลอนสุภาพเป็นหลักของบรรดากลอนทุกชนิด หากเข้าใจกลอนสุภาพเป็นอย่างดีแล้ว ก็สามารถจะเข้าใจกลอนอื่น ๆ ได้โดยง่าย
ฉันทลักษณ์ของกลอนสุภาพ มีดังนี้
กลอนสุภาพ ๑ บทมี ๔ วรรค
วรรคที่ ๑ เรียกว่า วรรคสดับ หรือ สลับ
วรรคที่ ๒ เรียกว่า วรรครับ
วรรคที่ ๓ เรียกว่า วรรครอง
วรรคที่ ๔ เรียกว่า วรรคส่ง
๑ วรรค มี ๘ คำ ๒ วรรค เป็น ๑ บาท หรือ ๑ คำกลอน
ฉะนั้นกลอน ๑ บท จะมี ๒ คำกลอน
จังหวะของคำในวรรค กลอนมักมีจังหวะ ๓ ช่วง คือ
จำนวน ๖ คำ ๐๐ / ๐๐ / ๐๐
จำนวน ๗ คำ ๐๐ / ๐๐ / ๐๐๐
จำนวน ๘ คำ ๐๐๐ / ๐๐ / ๐๐๐
จำนวน ๙ คำ ๐๐๐ / ๐๐๐ / ๐๐๐
เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค
คำท้ายวรรคแรก ใช้เสียง เอก โท ตรี จัตวา ห้ามใช้เสียงสามัญ
คำท้ายวรรคที่ ๒ ใช้เสียง เอก โท จัตวา
คำท้ายวรรคที่ ๓ และ ๔ ใช้เสียงสามัญ หรือ ตรี ห้ามเสียง เอก โท จัตวา
ข้อห้ามในการแต่ง
1. อย่าใช้คำที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายไม่ตรงกับที่ต้องการในบทประพันธ์
2. อย่าใช้คำเดียวกันรับส่งสัมผัสกัน เช่น แว่วเสียงสำเนียงจิ้งหรีดร้อง ดังเสียงร้องร่ำเพราะเสนาะเหลือ
3. อย่าใช้คำเสียงเดียวกันกับที่รับส่งสัมผัสอยู่แล้วแห่งหนึ่ง ไปรับส่งสัมผัสใหม่อีก แห่งหนึ่งในบทเดียวกัน
4. อย่าลงท้ายบทด้วยคำเสียงเดียวกับคำที่ใช้รับส่งสัมผัสมาแล้วในบทนั้น
5. อย่าลงท้ายบทด้วยคำใช้รูปวรรณยุกต์ และไม่ควรอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคำสุดท้ายของบทสุดท้าย
6. อย่าใช้คำที่มีรูปสระสั้น – ยาวแตกต่างกันมารับหรือส่งสัมผัสกัน เช่น ท่าน-ฉัน, จำได้ไหมใครคนหนึ่งซึ่งเคยรัก แล้วถูกพรากพาไปไกลเกินฝัน
สัมผัสของกลอนสุภาพ
กลอน ๖
ตัวอย่าง
ความดี มีอยู่ คู่ชั่ว ติดตัว กลั้วอิง อาศัย
ทำดี ดีช่วย อวยชัย ทำชั่ว ชั่วให้ ใจตรม
ผลดี นี้นำ ความสุข ผลชั่ว กลั้วทุกข์ ทับถม
ดีเด่น เห็นผล คนชม ชั่วช้า พาจม ตรมตรอม
กลอน ๗
ตัวอย่าง
หวานคำ ล้ำรส อมฤต ชโลมจิต สร่างโรค โศกศัลย์
น้ำคำ น้ำชุบ ชูชีวัน ชวนชื่น หื่นหรรษ์ ห่มฤดี
คำเพราะ เสนาะ สนานจิต ทุกข์หน่าย คลายพิษ พูนสุขศรี
ร้อยยา แพทย์ยา ยาชีวี ฤาถึง กึ่งวจี เจรจา
กลอน ๘
ตัวอย่าง
ถึงบางบอน ย้อนคิด ถึงเรื่องเก่า โบราณเล่า ว่าบอน ซ่อนไม่ได้
มันคันยิบ คันยับ จับหัวใจ ถ้าพูดออก บอกได้ ก็หายคัน
รู้อะไร นิ่งอั้น มันคันปาก ให้นึกอยาก พูดยิ่ง ทุกสิ่งสรรพ์
ขยายออก บอกใคร ได้ทุกวัน หายอัดอั้น คันปาก เพราะอยากบอน
กลอน ๙
ตัวอย่าง
รักประเทศ รักเพื่อนบ้าน งานทุกสิ่ง รักสัตย์จริง รักวิชา ใจกล้าหาญ
สามัคคี ไมตรีมิตร จิตชื่นบาน ตลอดกาล มรณะ อย่าละธรรม์
อย่าเสียศีล กินสินบน ขนเงินหลวง อย่าล่อลวง โกงเงินราษฎร์ ขาดขยัน
หนักก็เอา เบาก็ทำ ประจำวัน ยุติธรรม์ ขันติเลิศ ประเสริฐแล
เอาล่ะค่ะ ตอนนี้เราได้รู้หลักการแต่งกลอนที่ถูกต้องกันอย่างละเอียดไปแล้ว สำหรับผู้ที่ชอบแต่งกลอนหรือนักแต่งกลอนมือใหม่ ก็สามารถส่งกลอนต่าง ๆ มาแชร์กันได้ที่ Kapook Poem นะคะ...
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
thaiarc.tu.ac.th, sirimajan.exteen.com, vcharkarn.com