รองโฆษก ตร. ไม่ยืนยัน "จิมมี่" ผู้ต้องหาฆ่า 3 ศพที่ปทุมธานี เอี่ยวฆ่าหญิงเร่ร่อนแยกลาดพร้าว ชี้ต้องรอผลพิสูจน์นิติวิทยาศาสตร์ก่อน คาดรู้ผลภายใน 2 สัปดาห์
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 10.45 น. พล.ต.ต. ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีฆาตกรรมต่อเนื่องคนเร่ร่อนในบริเวณ ถ.พหลโยธิน ใกล้เคียง สถาบันธัญญารักษ์ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ในพื้นที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย คือ นายจิมมี่ หรือ บัง อายุ 20 ปี ชาวพม่า
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่อยากให้พูดว่าเป็นการฆาตรกรรมต่อเนื่อง เพราะเป็นคนละคดี เกิดขึ้นต่างเวลากัน โดยคดีแรกพบว่าเป็นการทะเลาะเบาะแว้งเรื่องการดื่มสุราแล้วก็ฆ่ากันตาย ไม่ใช่เป็นโรคจิตแล้วฆ่าต่อเนื่องแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่พบศพหญิงเร่ร่อนถูกฆ่าในลักษณะเดียวกันในบริเวณจุดกลับรถใต้สะพานข้ามแยกลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ นั้นจากการสืบสวนสอบสวนในชั้นนี้ยังไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงกับ 3 ศพ ก่อนหน้านี้ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี พร้อมยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดไม่ได้เป็นความบกพร่องของตำรวจในพื้นที่ เพราะทุกคนทำงานเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามพนักงานสืบสวนได้มีการเก็บหลักฐานต่าง ๆ ในที่เกิดเหตุไม่ว่าจะเป็นร่ม ก้อนอิฐ และเสื้อเปื้อนเลือด ไปตรวจที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อหาดีเอ็นเอเปรียบเทียบกับนายจิมมี่ ผู้ต้องหาที่จับได้ก่อนหน้านี้ คาดว่าจะทราบผลได้ภายใน 2 สัปดาห์ นอกจากนี้กรณีที่ทางกองบังคับปราบปราม (บก.ป.) จับกุมตัวผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับคดีนี้ได้อีก 1 รายนั้น เป็นเพียงแค่กระแสข่าวเท่านั้น
พล.ต.ต. ปิยะพันธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการเข้มงวดกวดขันคนเร่ร่อนในพื้นที่กรุงเทพฯ และชุมชนเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่น ๆ บูรณาการแก้ปัญหา เช่น เพิ่มพื้นที่แสงสว่างตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ ให้มากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มกำลังตามจุดเสี่ยงต่าง ๆ และที่ผ่านมาตำรวจมีการจับผู้ต้องหาที่ฆ่าคนเร่ร่อนอย่างต่อเนื่อง แต่พอดำเนินคดีไปแล้วก็มีคนร้ายคนอื่น ๆ โผล่ขึ้นมาอีก ซึ่งทุกพื้นที่ของโลกก็มีเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้เกิดนี้ ในเวลานี้ก็ต้องมีการเฝ้าระวังพื้นที่ให้มากขึ้น พร้อมฝากเตือนประชาชนทุกคนควรระมัดระวังตัวเอง และไม่ควรออกไปในพื้นที่เสี่ยงอันตรายเพียงลำพัง
ภาพจาก ครอบครัวข่าว
