จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัว นายกิตติกร วิกาหะ หรือตั้ม อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาร่วมกับพวกที่หลบหนีอีก 1 คน ใช้อาวุธมีดแทงและปาดคอ ชิงโทรศัพท์มือถือไอโฟน นายวศิน เหลืองแจ่ม อายุ 26 ปี บัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จนเสียชีวิต บริเวณปากซอยสุคนธสวัสดิ์ 27 แขวงและเขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2560 ก่อนจะพบว่าผู้ต้องหาเคยมีประวัติติดตัวหลายครั้งนั้น
ล่าสุด วันที่ 7 มกราคม 2560 นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงประเด็นนี้ผ่านเฟซบุ๊ก ธวัชชัย ไทยเขียว โดยระบุว่า ทำไมผู้กระความผิดที่ฆ่าปาดคอบัณฑิตชิงทรัพย์จึงทำผิดซ้ำซาก โดย นายกิตติกร เคยมีการกระทำความผิด 5 ครั้ง โดยผู้ต้องหาเคยถูกดำเนินคดีขณะเป็นเด็กหรือเยาวชนที่ได้ส่งตัวไปดำเนินการที่สถานพินิจฯ นนทบุรี 2 คดี ส่วนที่เหลือเป็นการกระทำความผิดหลังอายุเกิน 18 ปี แต่ถ้าเจาะลึกดูจะเห็นว่าผู้ต้องหารายนี้แทบไม่มีเวลาเหลือในโปรแกรมบำบัดแก้ไขฟื้นฟูในชั้นหลังคำพิพากษาของศาลเลย เนื่องจากเป็นความผิดที่มีอัตราโทษต่ำ ขณะที่การถูกควบคุมตัวในชั้นสอบสวนและพิจารณาคดีก็เพียงสั้น ๆ เท่านั้น
นายธวัชชัย กล่าวอีกว่า หากมองอีกมุมต้องยอมรับว่า สังคมไทยไม่ได้ให้การยอมรับผู้คนที่เคยติดคุก รวมถึงยังกำหนดคุณสมบัติในการเข้าทำงานว่าต้องไม่เคยต้องโทษจำคุกหรือต้องคำพิพากษา ไม่มีการลบประวัติอาชญากรจนถึงวันตาย ทำให้ผู้คนเหล่านี้ต้องไปเป็นผู้ประกอบการเอง ต้องกู้หนี้ยืมสิน ชักหน้าไม่ถึงหลัง และจำเป็นต้องกลับไปคบกับคนที่เคยต้องโทษจนต้องเดินกลับไปซ้ำรอยเดิม
ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เผยว่า ปัจจุบันคนที่เคยกระทำผิดแต่ไม่หวนกลับไปก่อคดีเพิ่มมีมากกว่า แม้คนกระทำผิดซ้ำจะมีจำนวนน้อย แต่เมื่อถูกผลิตซ้ำทางความคิดจึงทำให้สังคมเชื่อว่าคนพ้นโทษส่วนใหญ่ต้องกระทำผิดซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้คนที่ทำงานด้านบำบัดแก้ไขผู้ต้องขังก็ต้องจำใจโทษตัวเองทั้งที่ทำงานหนักมาโดยตลอด โดยกระทรวงยุติธรรมคงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เช่นกัน และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และหลังจากนี้จะมีการหารือเพื่อกำหนดมาตรการแนวทางในเชิงระบบต่อไป
ติดตามข่าว ฆ่าปาดคอชิงไอโฟน ทั้งหมด คลิก
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ธวัชชัย ไทยเขียว