x close

สัมภาษณ์พิเศษ ผู้กำกับจาก "โอปปาติก"



          จากภาพยนตร์สะท้อนภาพชีวิตที่ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวของหนุ่มสาวยุคใหม่ในเมืองหลวงอันศิวิไลซ์เรื่อง “FAKE โกหกทั้งเพ” ผลงานการกำกับเรื่องแรกเมื่อปี 2546 จนถึงภาพยนตร์ตีแผ่มุมมืดของสังคมในเรื่องราวของอาชญากรรมทางเพศที่อยู่ใกล้ตัวในภาพยนตร์เรื่อง “เอ็กซ์แมน แฟนพันธุ์เอ็กซ์” เมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา

          มาปีนี้ ผู้กำกับหนุ่มที่น่าจับตามองอย่าง “อั๋น-ธนกร พงษ์สุวรรณ” ก็พลิกมากำกับภาพยนตร์แอ็คชั่น-แฟนตาซีเรื่องยิ่งใหญ่ที่ระดม 8 ซูเปอร์สตาร์ชั้นนำของไทยมาไว้บนแผ่นฟิล์มเรื่องเดียวกันเป็นครั้งแรกกับ “โอปปาติก” (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) ที่มีคิวเข้าฉาย 13 กันยายนนี้...แน่นอน

 แรงบันดาลใจหรือจุดเริ่มต้นในการทำหนังเรื่องนี้

          แรงบันดาลใจในการทำเรื่อง “โอปปาติก” คือตอนที่ผมทำเรื่อง FAKE โกหกทั้งเพ ผมมีไอเดียและสคริปต์หลายเรื่อง ผมเขียนไว้อยู่เรื่องหนึ่งซึ่งก็คือเรื่อง อวตาร ช่วงนั้นผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาค่อนข้างเยอะ แต่หนังเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด โลกคู่ขนานของคน และสิ่งที่ไร้วิญญาณต่าง ๆ ซึ่งผมก็จินตนาการไปถึงสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงพุทธศาสนาที่เป็นเรื่องของคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง เป็นเรื่องของภูติผีปีศาจเทวดา สัมภเวสีอะไรอย่างนี้

          ทีนี้พอมาเจอคำ ๆ หนึ่งอย่าง “โอปปาติก” ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งตามหลักพุทธศาสนา คือพุทธศาสนามีมาเป็นสองพันกว่าปี มีมานานมาก ซึ่งเค้าได้จำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็น 4 แบบ แต่ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์จะแยกเป็น 3 แบบ

          พุทธศาสนาจะแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็น 4 แบบ อันแรกคือ สังเสทชะ หมายถึง สัตว์เซลล์เดียว สัตว์ที่เกิดในไคล อย่างเช่นพวกหนอน อันที่สองคือ อัณฑชะ คือพวกสัตว์ที่เกิดจากไข่ อย่างเช่น นก, เป็ด, จระเข้ แล้วก็อันที่สามคือ ชลาพุชะ คือสิ่งมีชีวิตที่เกิดหรือผุดขึ้นมาเต็มตัว อย่างคน, หมา อะไรอย่างนี้ และสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่งก็คือ โอปปาติก ความหมายของมันก็คือ ผุดและเกิดขึ้นมาทันที โตเต็มวัยขึ้นมาทันที อันนี้ก็จะรวมเรียกพวกภูติผีปีศาจ เทวดา เทพยดา สัมภเวสี อสูรกายต่าง ๆ ตามความเชื่อของคนไทยแล้วแต่จะเรียก ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ

          บวกกับโดยส่วนตัวผมเองชอบทำหนังที่เน้นในเรื่องของคาแร็คเตอร์อยู่แล้ว และก็อยากจะลองทำหนังแอ็คชั่นในแบบที่ผมอยากทำบ้าง ผสมกับการที่ถ้าหากจะมีหนังไทยซักเรื่องที่รวบรวมนักแสดงชั้นนำซึ่งมีคาแร็คเตอร์ที่แปลกใหม่ให้มาอยู่ในเรื่องเดียวกันก็คงจะน่าสนใจดี อันนี้เป็นที่มานะครับ หลังจากนั้นผมจึงคิดพล็อตขึ้นมาสนับสนุนไอเดียนี้อีกทีหนึ่ง ก็เลยออกมาเป็นเรื่องราวของเหล่าโอปปาติก ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถพิเศษ นอกจากที่พวกเขาต้องต่อสู้กันเองแล้ว พวกเขายังต้องต่อสู้กับตัวเองอีกด้วย



ขั้นตอนการเขียนบทเรื่องนี้มีความยากง่ายยังไง

          ในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ใช้เวลานานพอสมควรครับ เพราะต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสตร์หลายเล่ม เป็นการรีเสิร์ชข้อมูลในการทำภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ช่วงนั้นผมอ่านหนังสือหลายเล่มมาก และก็คิดว่าจะทำหนังเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างสองโลก โลกปัจจุบันกับโลกหลังความตาย ผมก็คิดถึงคุณสมบัติพิเศษของพวกเขา คือ พวกเขาเป็นโอปปาติก บางคนก็เข้าใจว่าเป็นผี แต่ตามตำราที่อ่านมา มันแปลได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่อุบัติขึ้นมาได้เอง ผมก็เลยเริ่มโยงเข้ากับเรื่องว่า ถ้าคนเราฆ่าตัวตาย แล้วอาจจะกลายเป็นโอปปาติก ทีนี้พอได้เป็นแล้ว อาจจะมีอำนาจหรือพลังพิเศษ แต่มันไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ คุณได้ความพิเศษแต่อาจจะต้องแลกกับคำสาป หรือความวิบัติบางอย่าง เหมือนกับว่ามีพลังพิเศษ แต่เมื่อใช้ไปแล้วก็ต้องแลกกับคำสาปที่ตามมาเป็นการแลกเปลี่ยน อันนี้ก็คือที่มาของการนำตัวละครไปสู่สถานการณ์แอ็คชั่นและก็จุดขัดแย้งของตัวละครแต่ละตัวด้วย อะไรประมาณนี้ครับ

ใช้เวลานานมั้ยในการรวบรวมข้อมูลในการเขียนบท

          ไม่ได้นานมากครับ เพราะจริง ๆ แล้ว เราเปิดหนังสือพุทธศาสนาแล้วไปเจอคำที่น่าสนใจอย่าง โอปปาติก ที่หมายถึงสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง แต่ผมนำมาตีความในแบบที่มันจะนำมาทำเป็นหนังแอ็คชั่นแฟนตาซีได้ เอ๊ะ รู้สึกมันน่าสนใจนะ ถ้าเกิดคำว่าภูติผีปีศาจเทวดา ที่รวมเรียกว่า โอปปาติก นำมาตีความเป็นมนุษย์ซึ่งพอตายไปแล้วมีพลังพิเศษเนี่ย พอได้คอนเซ็ปต์เรื่องพลังพิเศษและมีคำสาปตามมาเนี่ย รู้สึกมันน่าสนใจนะ ถ้ามันมาอยู่ในหนังแอ็คชั่น และถ้าเค้าต้องต่อสู้กันด้วยคาแร็คเตอร์ต่าง ๆ กัน มันน่าสนุกที่คนที่มีคาแร็คเตอร์พิเศษเหล่านี้มาสู้กัน พอใช้พลังไปแล้วก็จะมีคำสาปตามมาเป็นจุดอ่อน

สัดส่วนระหว่างเนื้อหาพุทธศาสนาและแอ็คชั่นแฟนตาซีที่คุณถ่ายทอดในเรื่องนี้มากน้อยอย่างไร

          ผมไม่อยากจะไปเน้นว่า หนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามากแค่ไหน เดี๋ยวคนจะเข้าใจว่าเป็นหนังดูยาก ก็เอาเป็นว่า หนังเรื่องนี้ผมได้ไอเดียจากพุทธศาสนามาเป็นจุดกำเนิด แต่ก็ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งหมดนะครับ จากนั้นผมก็มาต่อเติมไอเดียจากคำว่า “โอปปาติก” ให้ผสมผสานกันได้กับความเป็นแอ็คชั่น-แฟนตาซี ดังนั้นถ้าจะถามเรื่องสัดส่วนความเป็นหนังเรื่องนี้ บอกได้เลยว่าในส่วนของแอ็คชั่นแฟนตาซีมันจะมีมากกว่าเนื้อหาทางด้านศาสนาพุทธ และที่สำคัญ ผมอยากขับเน้นคาแร็คเตอร์ของตัวละครเป็นหลักด้วยครับ ซึ่งจะเห็นได้เลยว่า พวกโอปปาติกในเรื่องนี้จะมีการแสดงอารมณ์ความรู้สึกในด้านต่าง ๆ ที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหาไม่ต่างจากมนุษย์อย่างเรา ๆ เลยครับ

“โอปปาติก” เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร  

          มันเป็นเรื่องของโอปปาติก 5 ตน ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันจะมีโอปปาติกอยู่มากมายในโลกนี้ แต่ทีนี้พอมาทำเป็นหนัง ผมก็เลยต้องตั้งขอบเขตที่จะเล่าเรื่องโอปปาติก 5 ตน ซึ่งมีความสามารถพิเศษแตกต่างกันออกไปตามแต่ละคาแร็คเตอร์นะครับ อย่างตัวละครของเต๋าก็จะเป็นอมตะ, ชาคริตก็จะรู้จุดตายของคู่ต่อสู้, พุฒจะอ่านความคิดอ่านใจของคนอื่นได้, บอลจะมีร่างเจตภูติคอยช่วยเหลือ, ส่วนเรก็จะเป็นคนสองร่างสองบุคลิก ทันทีที่โอปปาติกเหล่านี้ใช้ความสามารถพิเศษไปแล้ว มันจะมีคำสาปตามมาแตกต่างกันไป ยิ่งพวกเค้าต่อสู้มากเท่าไหร่ คำสาปเหล่านั้นก็จะยิ่งย้อนกลับมาเป็นจุดอ่อนหรือเป็นความวิบัติให้กับตัวเค้าเอง ซึ่งนอกจากโอปปาติก 5 ตนนี้แล้ว ก็ยังมีตัวละครของอาหนิงที่เหมือนเป็นตัวบงการคนอื่น ๆ ตัวละครของพี่อ๊อฟก็จะเป็นคนตามล่าพวก

          โอปปาติกเหล่านี้ตามคำสั่งของอาหนิง ส่วนผู้หญิงคนเดียวในเรื่องอย่างเชอร์รี่จะเป็นผู้หญิงลึกลับที่คอยเชื่อมโยงทุกตัวละครเข้ามาปะทะกันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็จะไปคลายปมของเรื่องในตอนท้ายถึงการกระทำของคาแร็คเตอร์ต่าง ๆ ครับ

ภาพรวมของเรื่องนี้เป็นยังไง และต้องการจะสื่อหรือสะท้อนอะไรผ่านหนังเรื่องนี้

          ภาพรวมของหนังเรื่องนี้ก็จะเป็นหนังดราม่าแอ็กชั่น แฟนตาซีนะครับ จริง ๆ ผมต้องการจะทำหนังแอ็คชั่น-แฟนตาซีซักเรื่องนึง มันเป็นเรื่องการขับเน้นตัวละคร ซึ่งเป็นแอ็คชั่น ในแบบของผม และเรื่องแบบนี้มันน่าสนใจมากที่จะนำไปผูกสร้างให้เป็นหนังแอ็คชั่น-แฟนตาซีที่น่าสนใจได้ครับ

          ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้จะมีปมอยู่ ถึงคุณจะมีพลังพิเศษ แต่ก็ต้องแลกกับการสูญเสียบางอย่าง ตอนที่คุณยังเป็นมนุษย์ คุณก็มีปม มีปัญหา แต่พอคุณมาอยู่ในโลกหลังความตาย คุณก็ยังมีปัญหา ไม่หลุดพ้น ดิ้นไม่หลุดเหมือนกับตอนที่ยังเป็นมนุษย์นั่นแหละ ความจริงแล้ว โลกของโอปปาติกในหนังของผม มันก็ไม่ต่างจากโลกมนุษย์นัก ตัวละครก็ยังมีกิเลสตัณหา ดิ้นไม่หลุด อยากได้ อยากมี และสุดท้ายทุกคนก็ล้วนมีความโดดเดี่ยวเป็นสรณะ



องค์ประกอบที่ทำให้เลือกนักแสดงนำ 8 คน (เต๋า, ชาคริต, พุฒ, บอล อธิป, เร, พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์, อาหนิง นิรุตติ์, เชอรี่ เข็มอัปสร) มาร่วมงาน

          จริง ๆ แล้วในบ้านเรามีนักแสดงที่มีความสามารถ มีฝีไม้ลายมือ และความน่าสนใจมาก ๆ ซึ่งการคัดเลือกนักแสดงชั้นนำทั้ง 8 คนสำหรับหนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องยากพอสมควรนะครับ ซึ่งการคัดเลือกแต่ละคน ผมก็ดูจากความเหมาะสมของคาแร็คเตอร์ที่เข้ากับบทเป็นหลัก และส่วนหนึ่งก็เป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้วที่อยากจะรวบรวมนักแสดงทั้งรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการแสดง หลังจากที่ผมพยายามลองแคสติ้งหลาย ๆ คนในหัวดูให้เข้ากับหนังเรื่องนี้

          รวมถึงลองคัดเลือกกับทีมงานอยู่นาน สุดท้ายด้วยความเหมาะสมหลาย ๆ อย่างก็มาลงตัวที่นักแสดงนำทั้ง 8 คนนี้ครับ ซึ่งทั้ง เต๋า (สมชาย เข็มกลัด), คริต (ชาคริต แย้มนาม), พุฒ (ลีโอ พุฒ), บอล (อธิป นานา) ซึ่งยังไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน, เร (เร แม็คโดนัลด์), เชอรี่ (เข็มอัปสร สิริสุขะ), พี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) และ อาหนิง (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) ทุกคนในเรื่องนี้ก็จะพลิกบทบาทในคาแร็คเตอร์ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน จะเป็นอะไรที่แปลกแตกต่างออกไปจากเรื่องอื่น ๆ ครับ 

 การทำงานร่วมกับนักแสดงแต่ละคนเป็นอย่างไร

          การร่วมงานกับนักแสดงชุดนี้ก็ราบรื่นดีครับ เพราะทุกคนให้ใจและทุ่มเทให้กับการแสดงเรื่องนี้มาก ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วทุกคนก็เป็นนักแสดงที่มีฝีมือมากอยู่แล้ว อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ก็เลยทำให้สามารถเข้าใจและตีความลงไปในคาแร็คเตอร์แต่ละตัวได้อย่างเข้าถึงบทบาทอย่างครบถ้วน ผมก็ต้องขอบคุณนักแสดงทุกคนที่ให้ใจและเข้าใจจุดประสงค์ในการทำงานของผม แล้วก็ต้องขอบคุณอีกหลาย ๆ อย่างในกระบวนการทำงานที่ทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงออกมาได้

 คาแร็คเตอร์ของแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง

          คาแร็คเตอร์ของแต่ละคนก็จะแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัดนะครับ เริ่มจาก เต๋า สมชาย เข็มกลัด รับบทเป็น จิรัสย์ มีความหมายว่า ตลอดกาลหรือนิรันดร ซึ่งก็ตรงกับคาแร็คเตอร์โอปปาติกของเค้าก็คือมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะ อยู่ยืนยาวนาน เห็นโลกมาเยอะ และใช้ชีวิตอย่างคนที่ผ่านโลกมาเยอะ

         ชาคริต แย้มนาม รับบทเป็น ไปศล เป็นโอปปาติกที่สามารถมองเห็นจุดตายของคู่ต่อสู้ มีความแม่นยำในการสังหารคู่ต่อสู้ แต่ทันที่เล่นงานคู่ต่อสู้กลับไป คำสาปที่เค้าได้รับตามมาก็จะเป็นแผลตรงจุด ๆ นั้นและความเจ็บปวดของคนที่เค้าทำร้ายไปนั้นน่ะก็จะย้อนกลับมาเป็นแผลเป็นและความทุกข์ทรมานที่ไม่ต่างอะไรกับที่คู่ต่อสู้ได้รับ

          ลีโอ พุฒ จะรับบทเป็น เตชิต ที่แปลว่า ฉลาด เฉียบแหลม เป็นโอปปาติกที่สามารถอ่านใจคนแล้วก็หยั่งรู้ภายในจิตใจของคนอื่น ๆ แต่ว่าคำสาปที่ได้รับตามมาก็คือการสูญเสียสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์เรา ก็ได้แก่ สัมผัสการพูด การมองเห็น การหายใจ การฟัง และกายสัมผัส ทันทีที่อ่านใจคน รู้จิตใจผู้อื่น เค้าก็จะเริ่มสูญเสียสัมผัสต่าง ๆ ไป ซึ่งมันอาจจะทำให้การแสดงค่อนข้างยาก เพราะทันทีที่ใช้พลังพิเศษไปเรื่อย ๆ เค้าก็จะสูญเสียประสาทสัมผัสไปทีละอย่าง อย่างเช่น ไม่ได้กลิ่น ตาบอด พูดไม่ได้ ไม่ได้ยิน ไปจนถึงสุดท้ายคือสัมผัสอะไรไม่ได้เลย

          บอล อธิป นานา รับบทเป็น รามิล ที่แปลว่า สง่างาม ซึ่งเป็นโอปปาติกที่มีสองร่าง สามารถแบ่งร่างที่เป็นเจตภูติออกมา ซึ่งเจตภูติจะมีร่างกายที่อัปลักษณ์ ยิ่งเค้าใช้พลังเจตภูติไปเท่าไหร่เนี่ย ร่างจริงของเค้าก็จะยิ่งอัปลักษณ์ตามไปด้วย ซึ่งมันก็จะขัดแย้งกับคำว่าสง่างาม

          เร แม็คโดนัลด์ รับบทเป็น อรุษ เป็นโอปปาติกที่มีสองร่างสองบุคลิก กลางวันกลางคืนเป็นคนละคนกัน กลางวันเนี่ยจะเป็นคนที่อ่อนโยน ส่วนกลางคืนจะเป็นคนที่โหดเหี้ยม ความสามารถในการต่อสู้ของเค้าจะรวดเร็ว มันก็เหมือนกับว่า แม้จะเร็วได้เหนือเวลา แต่เวลาที่ใช้กับชีวิตจริง ๆ ก็จะน้อยลง ซึ่งก็เป็นคำสาปที่เค้าต้องแลกเปลี่ยนมากับพลังพิเศษที่เค้าได้รับ คือ มีความสามารถที่เร็ว แต่กลับใช้เวลาได้น้อยลง และก็เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นเรในอีกแบบหนึ่ง คือ เป็นเรที่โหดเหี้ยม

          อาหนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา จะรับเป็น ศดก ซึ่งเป็นโอปปาติกที่สำคัญอีกตัวหนึ่งของเรื่องที่ต้องการรวบรวมเหล่าโอปปาติกอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกันด้วยจุดประสงค์บางอย่าง โดยมีธุวชิต ที่เป็นตัวละครของพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์คอยช่วยเหลือ

          พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ในเรื่องจะรับบทเป็น ธุวชิตที่แปลว่า ผู้ชนะเสมอ คาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้ พี่อ๊อฟจะเป็นคนเดียวที่ไม่ใช่โอปปาติก แต่จะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ต้องมาล่าเหล่าโอปปาติกะ

          ส่วนเชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ รับบทเป็น ปราณ เป็นคาแร็คเตอร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องที่จะดึงเหล่าโอปปาติกะเข้ามาหากัน

          สังเกตดูได้ว่า เรื่องนี้ก็ยังคงเล่าเรื่องผ่านมุมมองความคิดในแบบผู้ชายๆ และด้านมืดของตัวละครอยู่ (ตัวละครนำชาย) เพราะความถนัดหรือความตั้งใจส่วนตัว



          สำหรับหนังเรื่องนี้ก็คงเหมือนกับสองเรื่องที่ผ่านมาของผมนะครับ คือผมชอบมุ่งเน้นเกี่ยวกับคาแร็คเตอร์ของตัวละครผู้ชาย และเรื่องนี้มันน่าสนใจถ้ามันเป็นคาแร็คเตอร์ของตัวละครผู้ชายที่เป็นหนังแอ็คชั่น-แฟนตาซี และเป็นหนังในแบบที่ผมอยากให้เป็น ฉะนั้นผมก็คงต้องตอบว่าเป็นทั้งความถนัดและความตั้งใจส่วนตัวที่ยังคงเล่าเรื่องราวโดยผ่านมุมมองของตัวละครชายอยู่นะครับ

 ยกตัวอย่างฉากแอ็คชั่นที่มีความโดดเด่นของเรื่องนี้หน่อย

          ฉากแอ็คชั่นที่มีความโดดเด่นจริง ๆ มันมีอยู่หลายฉากเลยนะครับ ซึ่งแต่ละฉากก็จะมีเอกลักษณ์ต่างกันออกไป อย่างฉากหนึ่งของเรื่อง คือฉากการต่อสู้ของเต๋า สมชายกับชาคริตนะครับ ที่เป็นโอปปาติก2 คาแร็คเตอร์ คนหนึ่งจะเป็นอมตะ ส่วนอีกคนมีความสามารถที่รู้จุดตายของคู่ต่อสู้ ที่นี้นึกถึงคาแร็คเตอร์ 2 ตัวที่จะต้องมาห้ำหั่นกัน ฉากนี้จะต้องถ่ายกันที่ทางแยกที่เป็นทางแพร่งขนาดใหญ่ ซึ่งจะต้องปิดถนน และถ่ายทำยากมาก ๆ เพราะว่ามันเป็นทางแยกขนาดใหญ่ที่มีการสัญจรไปมา ไอเดียในการถ่ายทำฉากนี้ก็คือ ทางแพร่งมันเป็นเหมือนทางที่ตามความเชื่อของคนไทยที่ว่า ทางแพร่งจะเป็นที่วิญญาณมาสิงสถิตอยู่ยังไม่รู้จะไปในทิศทางไหน ก็เหมือนกับโอปปาติก 2 ตนนี้ที่ยังต้องวนเวียนและต้องมาใช้ชีวิตต่อสู้กันในโลเกชั่นแห่งนี้

พูดถึงการออกแบบงานสร้าง, การเลือกสถานที่ถ่ายทำ ตั้งใจจะให้ออกมาเป็นแบบไหน อย่างไร

          ในการทำหนังทุกเรื่อง ขั้นตอนหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบมากก็คือ การหาโลเกชั่นสถานที่ถ่ายทำ เพราะผมคิดว่า การตระเวนดูโลเกชั่นหาสถานที่ถ่ายทำ ไปในที่แปลก ๆ ที่เราไม่เคยไป หรือบางครั้งเคยไปแต่ก็เป็นเพียงแค่ผ่านๆ ไม่ได้ลงลึกไปกับมันซักเท่าไหร่ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการหาโลเกชั่นถ่ายทำในหนังเรื่องนี้ บางครั้งมันก็สามารถช่วยเหลือเราในแง่ของการเล่าเรื่องได้มากขึ้นด้วยครับ บางทีมันก็ทำให้มีไอเดียต่อยอดแตกออกมาได้อีกเยอะด้วยครับ

          สำหรับเรื่องนี้ ผมก็ตระเวนหามันอยู่นานมาก และผมก็ใช้โลเกชั่นหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารเก่า เช่น วัด ตึกเก่า ตึกอนุรักษ์ บางแห่งก็เป็นสถานที่ราชการซึ่งมีอายุถึง 50-60 ปี  และบางโลเกชั่นก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว เช่น กรมการค้าภายใน ที่ท่าเตียน ซึ่งผมรู้สึกดีใจมาก ที่ได้บันทึกสถานที่สวยงามแห่งนี้เอาไว้ ส่วนพวกวัดต่าง ๆ ก็เป็นวัดเก่า บางวัดก็มีอายุ 100 ปี เช่น วัดประยูรวงศาวาส ซึ่งผมรู้สึกชอบและหลงใหลในความสวยงามของวัด ผมไม่ค่อยได้เห็นวัดในหนังไทย ผมอยากถ่ายวัดออกมาให้สวย เพราะเราเป็นคนไทย ผมอยากถ่ายทอดในสิ่งที่บางคนอาจจะหลีกเลี่ยงที่จะถ่าย และที่สำคัญบังเอิญว่า เนื้อหาของหนังเกี่ยวข้องกับวิญญาณและโลกหลังความตาย ดังนั้นมันจึงเกี่ยวข้องกันไปโดยปริยายครับ

          นอกจากนี้ยังมีโลเกชั่นแปลก ๆ อีกหลายแห่งซึ่งไม่เคยถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของหนังมาก่อน หรือแม้ว่าในบางสถานที่อาจจะเคยถูกใช้ในเรื่องอื่นมาก่อนก็จริง แต่พอมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ ก็จะถูกถ่ายทอดออกมาในแง่มุมที่ต่างกันออกไปครับ

เสน่ห์หรือความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงไหน

          เสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ ตัวผมเองก็บอกไม่ได้ว่ามันอยู่ตรงไหน อันนี้มันก็แล้วแต่คนมองนะครับ ผมเองก็ตั้งใจและเอาใจใส่กับหนังเรื่องนี้ในทุก ๆ ส่วนนะครับ ทั้งเรื่องบท, การแสดง, การตัดต่อ รวมถึงพิถีพิถันกับงานด้านภาพค่อนข้างมากด้วยครับ เหล่านี้ผมว่าน่าจะเรียกความสนใจจากผู้ชมได้ครับ และเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นการที่เราจะได้ดูกลุ่มนักแสดงระดับแถวหน้าที่มากความสามารถ มากฝีมือมารับบทในคาแร็คเตอร์ที่มีความสามารถพิเศษต่าง ๆ กัน แล้วก็ต้องมาต่อสู้ห้ำหั่นกันในแบบฉบับหนังแอ็คชั่น-แฟนตาซีนี่ล่ะครับ ผมว่าผู้ชมส่วนใหญ่น่าจะถูกใจกันนะครับ



ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

- "โอปปาติก" การปะทะฝีมือ 8 ซูเปอร์สตาร์ไทย
- รวมเหล่า...โอปปาติก
- เปิดตัว "โอปปาติก-เกิดอมตะ" รวมนักแสดงคุณภาพคับจอ 23 ตุลาคมนี้แน่นอน

ข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สัมภาษณ์พิเศษ ผู้กำกับจาก "โอปปาติก" โพสต์เมื่อ 22 กันยายน 2550 เวลา 00:00:00 3,408 อ่าน
TOP